ปูทางสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง สำหรับรถยนต์แบรนด์อังกฤษ เจ้าของคนจีน “เอ็มจี” (MG) ที่การทำธุรกิจในไทย โดยเจ้าของ SAIC ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน ร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพีแบ่งกันถือหุ้นในสัดส่วน 51/49 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
โดยรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกเลือกให้มาประเดิมผลิตพร้อมทำตลาดในเมืองไทยคือคอมแพกต์คาร์ MG6 วางเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร และ 1.8 ลิตรเทอร์โบ ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัทช์ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งตัวถังแฮทช์แบ็ก และซีดาน ราคาเริ่มต้น 8.48 แสนบาทไปจนถึง 1.128 ล้านบาท
…ด้วยการตั้งราคาดังกล่าวทำเอาหลายคนประหลาดใจ แม้ไม่ได้คิดจะซื้ออยู่แล้วแต่ด้วยคาดหวังว่าการเป็นรถ(เจ้าของ)จีน และเป็นน้องใหม่ในตลาด น่าจะตั้งราคาให้แข่งขันได้มากกว่านี้
อย่างไรก็ตามทางผู้บริหารของเอ็มจี ทั้ง จีน อังกฤษ ไทย ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สมรรถนะอันยอดเยี่ยม พร้อมออปชันมากมาย โดยเฉพาะระบบความปลอดภัยที่ใส่มาเต็มพิกัด ราคานี้ไม่แพงแน่นอน
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เพิ่งไปร่วมทดสอบ MG6 บนเส้นทางกรุงเทพ-หัวหิน โดยทีมงานจัดตัวท็อป ตัวถังซีดาน 1.8X Turbo Sunroof DCT ราคา 1.128 ล้านบาทมาให้ลอง เผื่อจะเข้าใจในตัวรถและคล้อยตามกับคำคุยโตที่ท่านผู้บริหารของ SAIC MOTOR-CP ว่าไว้
การพัฒนา MG6 มากับแนวคิด “บริท ไดนามิก” (มีเพลต Brit Dynamic ผสมรูปธงยูเนียนแจ็ค แปะอยู่ท้ายรถด้วย) อันประกอบด้วยคุณลักษณะเด่น 4 ประการ คือ 1. การออกแบบเน้นความโฉบเฉี่ยวทันสมัย มีกลิ่นของรถยุโรปทั้งภายนอกและการตกแต่งภายใน 2.สมรรถนะที่ได้จากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ ประกบเกียร์ดูอัลคลัทช์ 6 สปีด 3.การควบคุมและการทรงตัวตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนาน พวงมาลัยแม่นยำ ช่วงล่างหนึบแน่นมั่นใจ และ4. ระบบความปลอดภัยแบบจัดหนักอัดเต็ม
หากจะว่ากันที่ความปลอดภัย MG6 ตัวท็อปที่ผู้เขียนได้ลองขับมีทั้ง ระบบช่วยควบคุมแรงเบรกเมื่อรถไถลลื่น (VSC - Vehicle Stability Control) ระบบเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่โดยลดการลื่นไถล (TCS - Traction Control System) ระบบป้องกันการลื่นเมื่อเร่งความเร็ว (MSR - Motor Control Slide Retainer) ระบบช่วยควบคุมแรงดันถังเบรก (CBC - Cornering Brake Control) ระบบช่วยกระจายแรงเบรค (EBD - Electronic Brake Distribution) ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรคฉุกเฉิน (ABS - Anti-lock Braking System) ระบบตรวจสอบแรงดันยางรถยนต์อัจฉริยะ (ITPMS - Indirect Monitor Tire System) ระบบทำความสะอาดจานเบรคอัจฉริยะ (BDC - Brake Disc Cleaning) ระบบควบคุมการเบรคฉุกเฉิน (BA - Brake Assist) และระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS - Hill Start Assist System) พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้างรวม 4 จุด
รถยนต์ราคาล้านต้นๆต้องจัดมาแบบนี้ละครับ และที่มีมากกว่านั้นคือ “ซันรูฟ” เอาไว้เปิดอาบแดดกลางวัน นอนดูดาวกลางคืน กล่องเก็บความเย็นตรงคอนโซลกลาง ที่ไปแบ่งแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาใช้ (สามารถเปิด-ปิดได้) เบรกมือไฟฟ้า ครูสคอนโทล ระบบกุญแจอัจฉริยะ (ต้องเสียบกุญแจเข้าไปในช่องแล้วกดย้ำเพื่อสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์) รวมถึงแพดเดิ้ลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย
ส่วนเครื่องเสียงมาแบบพื้นๆคือ เล่นวิทยุ ซีดี เอ็มพี3 ได้หนึ่งแผ่น มีช่องต่อ USB AUX ซ่อนอยู่ในช่องลับใต้ปุ่มควบคุมระบบไฟส่องสว่าง (บริเวณเข่าขวาของผู้ขับ) ขับพลังเสียงด้วยลำโพง 6 ตัว
การตกแต่งภายในห้องโดยสาร MG6ดูหรูหรามีสกุลครับ ตั้งแต่แผงแดชบอร์ดหน้า ช่องแอร์ จอแสดงผล การออกแบบพวงมาลัย และคันเกียร์ ทั้งหมดเน้นโทนสีดำตัดเมทาลิก เบาะหนังสีดำเดินด้ายแดงให้อารมณ์สปอร์ต ตัวเบาะบุแน่นๆ โครงสร้างรับสรีระ ด้านคนขับปรับระดับด้วยไฟฟ้า แต่สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าเป็นแบบมือโยก
หลังเข้าประจำการหลังพวงมาลัย พบว่าพื้นที่ค่อนข้างแน่นสำหรับคนตัวสูง 180 ซม. การขยับแข้งขาทำได้นิดหน่อย ระยะเฮดรูมเหลือน้อย แต่ยังโชคดีที่พวงมาลัยสามารถดึงเข้าหาตัวผู้ขับปรับระยะได้ ก็ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเยอะครับ
เมื่อปรับตำแหน่งนั่งและระยะจับพวงมาลัยให้ถนัดถนี่ คราวนี้เหมือนเตรียมตัวควบรถสปอร์ตครับ ด้วยพื้นที่ว่างให้มองผ่านกระจกหน้าเหลือน้อย จากความลาดเอียงของเสาร์เอ-พิลลาร์พร้อมหลังคาต่ำเตี้ย กินกับแผงคอนโซลหน้า (บรรจุจอแสดงผล ไมล์วัดความเร็ว วัดรอบ ฯ)ที่ปูดสูง ส่งผลให้ทัศนวิสัยการขับขี่ด้านหน้าค่อนข้างจำกัด
การเก็บเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร MG6 ทำได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับคอมแพกต์คาร์ด้วยกัน ช่วงผ่านการจราจรหนาแน่นในเมือง ต่อเนื่องขึ้นทางด่วนใช้ความเร็วระดับ 80-90 กม./ชม. พวกเสียงจากพื้นถนน และลมปะทะมีเล็ดลอดเข้ามาน้อย
ส่วนการควบคุมผ่านพวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนใช้การผ่อนแรงด้วยปั๊มไฮดรอลิก(หลายยี่ห้อหันไปใช้มอเตอร์ไฟฟ้า) การขับความเร็วต่ำไม่ว่าจะเลี้ยวเข้าซอย หรือวนหาที่จอด ยังหนักมือพอสมควร ต้องใช้พลังแขนในการเอี้ยวเลี้ยวสูง ทว่าในการขับความเร็ว 100 กม./ชม.ขึ้นไป น้ำหนักพวงมาลัยจะหน่วงมือพอดี ทางตรงถือได้นิ่งๆ ทางโค้งสั่งงานแม่นยำ
สมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบดูอัลคลัทช์ 6 สปีด (คลัทช์ชุดแรกประกบที่เกียร์ 1,3,5 คลัทช์อีกชุดประกบเกียร์ 2,4,6 ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วมากขึ้น)
โดย MG แจ้งอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ไว้ 10.3 วินาที ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน เพียงแต่การขับขี่จริงขุมพลังที่ต้องแบกน้ำหนักรถประมาณตันครึ่ง การตอบสนองไม่ถึงกับรวดเร็วทันใจนัก
เริ่มแรกออกตัวไม่ถึงกับอืด แต่ในสถานการณ์ที่ต้องการเร่งแซงกะทันหัน ต้องเข่นเพิ่มแรงกดคันเร่ง แต่รถก็ไม่ได้พุ่งทยาน ส่วนเกียร์เหมือนจะไม่ค่อยกระตือรือร้น เรียกว่าพาอืดกันไปทั้งคันรถ
…เมื่อขับๆ ทำความคุ้นเคยไปสักพัก ผู้เขียนว่า MG6 นี่บุคลิกคล้ายๆโปรตอน เพรเว่ (วางเครื่อง1.6 เทอร์โบ) คือออกแนวรถแข่งครับ ด้วยพวงมาลัยหนัก ช่วงล่างหนึบแน่น ความเร็วปลายไหลเกิน 120 กม./ชม. ขึ้นไป ขับสนุกพร้อมให้ความมั่นใจ
การรองรับด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง อารมณ์ดิบๆ การขับขี่ในเมือง ใช้ความเร็วปกติ รู้สึกถึงอาการดีดเด้ง หากขับถึงที่หมายเอาแค่ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ร่างกายแทบจะเมื่อยล้าอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ให้ความมั่นใจในรถ MG6 ยังเป็นระบบเบรก ใช้แบบดิสก์มีครีบระบายความร้อนทั้งสี่ล้อ ช่วยให้ระยะชะลอหยุดสั้น การตอบสนองการเบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมันจากการลองวัดในระยะทาง 30-40 กิโลเมตร โดยใช้ความเร็ว 80-110 กม./ชม. หน้าจอแสดงตัวเลขประมาณ 6 ลิตรต่อ100 กม. หรือ 16.66 กม./ลิตร แต่ถ้าหากขับตะบี้ตะบันมุดซ้ายป่ายขวา เร่งความเร็วระดับ 120-140 กม./ชม. ก็กินระดับ 12 กม./ลิตร ขณะที่ MG เคลมเฉลี่ยในรุ่น 1.8 เทอร์โบ เอาไว้ 13.33 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ….ใครจะหยันว่า MG เป็นรถจีน หรือแบรนด์โบราณของอังกฤษตกสมัย ผู้เขียนว่าประเด็นนี้ไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพ มาตรฐานของตัวสินค้า “ทำดี มีความคุ้มค่า” ก็เป็นที่ยอมรับในที่สุด (แต่อาจต้องใช้เวลา) ซึ่ง MG6 เป็นรถที่อยู่ในกลุ่มนั้นหากวัดกันที่ออปชันปอนด์ต่อปอนด์ เพียงแต่สมรรถนะการขับขี่ออกแนวดิบๆ มีบุคลิกที่สปอร์ตหนักแน่นชัดเจนไปหน่อย
…ปีนี้ผู้บริหาร SAIC MOTOR-CP ตั้งเป้าขาย MG6 แค่ 2,000 คัน ใครจะเป็นหนึ่งในนั้นบ้างไปรู้ แต่ถ้าอยากให้รถวิ่ง หรือมีให้เห็นบนท้องถนน พนักงานในเครือ CP ถ้าได้ราคาพิเศษ ซื้อนำร่องไปก่อนเลย!!!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
โดยรถยนต์รุ่นแรกที่ถูกเลือกให้มาประเดิมผลิตพร้อมทำตลาดในเมืองไทยคือคอมแพกต์คาร์ MG6 วางเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร และ 1.8 ลิตรเทอร์โบ ส่งกำลังด้วยเกียร์ดูอัลคลัทช์ 6 สปีด มีให้เลือกทั้งตัวถังแฮทช์แบ็ก และซีดาน ราคาเริ่มต้น 8.48 แสนบาทไปจนถึง 1.128 ล้านบาท
…ด้วยการตั้งราคาดังกล่าวทำเอาหลายคนประหลาดใจ แม้ไม่ได้คิดจะซื้ออยู่แล้วแต่ด้วยคาดหวังว่าการเป็นรถ(เจ้าของ)จีน และเป็นน้องใหม่ในตลาด น่าจะตั้งราคาให้แข่งขันได้มากกว่านี้
อย่างไรก็ตามทางผู้บริหารของเอ็มจี ทั้ง จีน อังกฤษ ไทย ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สมรรถนะอันยอดเยี่ยม พร้อมออปชันมากมาย โดยเฉพาะระบบความปลอดภัยที่ใส่มาเต็มพิกัด ราคานี้ไม่แพงแน่นอน
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” เพิ่งไปร่วมทดสอบ MG6 บนเส้นทางกรุงเทพ-หัวหิน โดยทีมงานจัดตัวท็อป ตัวถังซีดาน 1.8X Turbo Sunroof DCT ราคา 1.128 ล้านบาทมาให้ลอง เผื่อจะเข้าใจในตัวรถและคล้อยตามกับคำคุยโตที่ท่านผู้บริหารของ SAIC MOTOR-CP ว่าไว้
การพัฒนา MG6 มากับแนวคิด “บริท ไดนามิก” (มีเพลต Brit Dynamic ผสมรูปธงยูเนียนแจ็ค แปะอยู่ท้ายรถด้วย) อันประกอบด้วยคุณลักษณะเด่น 4 ประการ คือ 1. การออกแบบเน้นความโฉบเฉี่ยวทันสมัย มีกลิ่นของรถยุโรปทั้งภายนอกและการตกแต่งภายใน 2.สมรรถนะที่ได้จากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ ประกบเกียร์ดูอัลคลัทช์ 6 สปีด 3.การควบคุมและการทรงตัวตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนาน พวงมาลัยแม่นยำ ช่วงล่างหนึบแน่นมั่นใจ และ4. ระบบความปลอดภัยแบบจัดหนักอัดเต็ม
หากจะว่ากันที่ความปลอดภัย MG6 ตัวท็อปที่ผู้เขียนได้ลองขับมีทั้ง ระบบช่วยควบคุมแรงเบรกเมื่อรถไถลลื่น (VSC - Vehicle Stability Control) ระบบเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่โดยลดการลื่นไถล (TCS - Traction Control System) ระบบป้องกันการลื่นเมื่อเร่งความเร็ว (MSR - Motor Control Slide Retainer) ระบบช่วยควบคุมแรงดันถังเบรก (CBC - Cornering Brake Control) ระบบช่วยกระจายแรงเบรค (EBD - Electronic Brake Distribution) ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรคฉุกเฉิน (ABS - Anti-lock Braking System) ระบบตรวจสอบแรงดันยางรถยนต์อัจฉริยะ (ITPMS - Indirect Monitor Tire System) ระบบทำความสะอาดจานเบรคอัจฉริยะ (BDC - Brake Disc Cleaning) ระบบควบคุมการเบรคฉุกเฉิน (BA - Brake Assist) และระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS - Hill Start Assist System) พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้างรวม 4 จุด
รถยนต์ราคาล้านต้นๆต้องจัดมาแบบนี้ละครับ และที่มีมากกว่านั้นคือ “ซันรูฟ” เอาไว้เปิดอาบแดดกลางวัน นอนดูดาวกลางคืน กล่องเก็บความเย็นตรงคอนโซลกลาง ที่ไปแบ่งแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาใช้ (สามารถเปิด-ปิดได้) เบรกมือไฟฟ้า ครูสคอนโทล ระบบกุญแจอัจฉริยะ (ต้องเสียบกุญแจเข้าไปในช่องแล้วกดย้ำเพื่อสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์) รวมถึงแพดเดิ้ลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย
ส่วนเครื่องเสียงมาแบบพื้นๆคือ เล่นวิทยุ ซีดี เอ็มพี3 ได้หนึ่งแผ่น มีช่องต่อ USB AUX ซ่อนอยู่ในช่องลับใต้ปุ่มควบคุมระบบไฟส่องสว่าง (บริเวณเข่าขวาของผู้ขับ) ขับพลังเสียงด้วยลำโพง 6 ตัว
การตกแต่งภายในห้องโดยสาร MG6ดูหรูหรามีสกุลครับ ตั้งแต่แผงแดชบอร์ดหน้า ช่องแอร์ จอแสดงผล การออกแบบพวงมาลัย และคันเกียร์ ทั้งหมดเน้นโทนสีดำตัดเมทาลิก เบาะหนังสีดำเดินด้ายแดงให้อารมณ์สปอร์ต ตัวเบาะบุแน่นๆ โครงสร้างรับสรีระ ด้านคนขับปรับระดับด้วยไฟฟ้า แต่สำหรับผู้โดยสารด้านหน้าเป็นแบบมือโยก
หลังเข้าประจำการหลังพวงมาลัย พบว่าพื้นที่ค่อนข้างแน่นสำหรับคนตัวสูง 180 ซม. การขยับแข้งขาทำได้นิดหน่อย ระยะเฮดรูมเหลือน้อย แต่ยังโชคดีที่พวงมาลัยสามารถดึงเข้าหาตัวผู้ขับปรับระยะได้ ก็ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเยอะครับ
เมื่อปรับตำแหน่งนั่งและระยะจับพวงมาลัยให้ถนัดถนี่ คราวนี้เหมือนเตรียมตัวควบรถสปอร์ตครับ ด้วยพื้นที่ว่างให้มองผ่านกระจกหน้าเหลือน้อย จากความลาดเอียงของเสาร์เอ-พิลลาร์พร้อมหลังคาต่ำเตี้ย กินกับแผงคอนโซลหน้า (บรรจุจอแสดงผล ไมล์วัดความเร็ว วัดรอบ ฯ)ที่ปูดสูง ส่งผลให้ทัศนวิสัยการขับขี่ด้านหน้าค่อนข้างจำกัด
การเก็บเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร MG6 ทำได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับคอมแพกต์คาร์ด้วยกัน ช่วงผ่านการจราจรหนาแน่นในเมือง ต่อเนื่องขึ้นทางด่วนใช้ความเร็วระดับ 80-90 กม./ชม. พวกเสียงจากพื้นถนน และลมปะทะมีเล็ดลอดเข้ามาน้อย
ส่วนการควบคุมผ่านพวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนใช้การผ่อนแรงด้วยปั๊มไฮดรอลิก(หลายยี่ห้อหันไปใช้มอเตอร์ไฟฟ้า) การขับความเร็วต่ำไม่ว่าจะเลี้ยวเข้าซอย หรือวนหาที่จอด ยังหนักมือพอสมควร ต้องใช้พลังแขนในการเอี้ยวเลี้ยวสูง ทว่าในการขับความเร็ว 100 กม./ชม.ขึ้นไป น้ำหนักพวงมาลัยจะหน่วงมือพอดี ทางตรงถือได้นิ่งๆ ทางโค้งสั่งงานแม่นยำ
สมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์แบบดูอัลคลัทช์ 6 สปีด (คลัทช์ชุดแรกประกบที่เกียร์ 1,3,5 คลัทช์อีกชุดประกบเกียร์ 2,4,6 ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วมากขึ้น)
โดย MG แจ้งอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ไว้ 10.3 วินาที ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน เพียงแต่การขับขี่จริงขุมพลังที่ต้องแบกน้ำหนักรถประมาณตันครึ่ง การตอบสนองไม่ถึงกับรวดเร็วทันใจนัก
เริ่มแรกออกตัวไม่ถึงกับอืด แต่ในสถานการณ์ที่ต้องการเร่งแซงกะทันหัน ต้องเข่นเพิ่มแรงกดคันเร่ง แต่รถก็ไม่ได้พุ่งทยาน ส่วนเกียร์เหมือนจะไม่ค่อยกระตือรือร้น เรียกว่าพาอืดกันไปทั้งคันรถ
…เมื่อขับๆ ทำความคุ้นเคยไปสักพัก ผู้เขียนว่า MG6 นี่บุคลิกคล้ายๆโปรตอน เพรเว่ (วางเครื่อง1.6 เทอร์โบ) คือออกแนวรถแข่งครับ ด้วยพวงมาลัยหนัก ช่วงล่างหนึบแน่น ความเร็วปลายไหลเกิน 120 กม./ชม. ขึ้นไป ขับสนุกพร้อมให้ความมั่นใจ
การรองรับด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง อารมณ์ดิบๆ การขับขี่ในเมือง ใช้ความเร็วปกติ รู้สึกถึงอาการดีดเด้ง หากขับถึงที่หมายเอาแค่ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ร่างกายแทบจะเมื่อยล้าอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ให้ความมั่นใจในรถ MG6 ยังเป็นระบบเบรก ใช้แบบดิสก์มีครีบระบายความร้อนทั้งสี่ล้อ ช่วยให้ระยะชะลอหยุดสั้น การตอบสนองการเบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมันจากการลองวัดในระยะทาง 30-40 กิโลเมตร โดยใช้ความเร็ว 80-110 กม./ชม. หน้าจอแสดงตัวเลขประมาณ 6 ลิตรต่อ100 กม. หรือ 16.66 กม./ลิตร แต่ถ้าหากขับตะบี้ตะบันมุดซ้ายป่ายขวา เร่งความเร็วระดับ 120-140 กม./ชม. ก็กินระดับ 12 กม./ลิตร ขณะที่ MG เคลมเฉลี่ยในรุ่น 1.8 เทอร์โบ เอาไว้ 13.33 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ….ใครจะหยันว่า MG เป็นรถจีน หรือแบรนด์โบราณของอังกฤษตกสมัย ผู้เขียนว่าประเด็นนี้ไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพ มาตรฐานของตัวสินค้า “ทำดี มีความคุ้มค่า” ก็เป็นที่ยอมรับในที่สุด (แต่อาจต้องใช้เวลา) ซึ่ง MG6 เป็นรถที่อยู่ในกลุ่มนั้นหากวัดกันที่ออปชันปอนด์ต่อปอนด์ เพียงแต่สมรรถนะการขับขี่ออกแนวดิบๆ มีบุคลิกที่สปอร์ตหนักแน่นชัดเจนไปหน่อย
…ปีนี้ผู้บริหาร SAIC MOTOR-CP ตั้งเป้าขาย MG6 แค่ 2,000 คัน ใครจะเป็นหนึ่งในนั้นบ้างไปรู้ แต่ถ้าอยากให้รถวิ่ง หรือมีให้เห็นบนท้องถนน พนักงานในเครือ CP ถ้าได้ราคาพิเศษ ซื้อนำร่องไปก่อนเลย!!!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring