เนื่องในโอกาสที่ บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี มีอายุครบ 111 ปี ในวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาจึงถือโอกาสนี้พาเดินทางย้อนเวลาไปยัง ปี 1908 ซึ่งเป็นปีที่ “ฟอร์ด โมเดลที” หรือรถคันแรกของฟอร์ดได้ถูกผลิตขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ฟอร์ดเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและกลายมาเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำระดับโลกถึงปัจจุบัน ฟอร์ดผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใน 130 ประเทศใน 5 ทวีปทั่วโลก ได้แก่ ยุโรป เอเชียแปซิฟิก ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ
ทั้งนี้ ภายในระยะเวลา 1 วัน หรือใน 24 ชั่วโมง โรงงานฟอร์ดทั่วโลกสามารถผลิตรถยนต์รวมกันถึง 17,342 คัน โดยพนักงานฟอร์ดทั่วโลกกว่า 183,000 คน ร่วมกันพัฒนาและสร้างสรรค์ยานยนต์มาตรฐานเดียวกันภายใต้แผน One Ford ซึ่งเป็นแผนงานระดับโลกของฟอร์ด
ความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของฟอร์ด มีจุดเริ่มต้นมาจากชายที่มีชื่อว่า “เฮนรี่ ฟอร์ด” (Henry Ford) โดยฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ไม่ได้เป็นบริษัทรถยนต์บริษัทแรกที่ เฮนรี่ ฟอร์ด ก่อตั้งขึ้น เขาทิ้งธุรกิจรถยนต์เดิมที่มีชื่อว่า เดอะ เฮนรี่ ฟอร์ด คัมปะนี (The Henry Ford Company) หลังจากมีปัญหากับผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ โดยตั้งชื่อตาม Antoine de la Mothe Cadillac นักสำรวจชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบเมืองดีทรอยต์
รถยนต์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลกและตลาดรถยนต์ไปตลอดกาลคือ “ฟอร์ด โมเดลที” คันแรกผลิตขึ้นในปี 1908 และในปี 1916 ร้อยละ 55 ของรถยนต์บนท้องถนนก็คือ ฟอร์ด โมเดลที รุ่นนี้ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ฟอร์ด โมเดลที เป็นที่นิยมอย่างมากคือราคาที่ถูกกว่าถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับราคาของรถยนต์คู่แข่งรายอื่นๆ ในขณะนั้น
ในปี 1911 พนักงานของฟอร์ดชื่อว่า เฮนรี่ อเล็กซ์ซานเดอร์ (Henry Alexander) ขับรถฟอร์ด โมเดลที ขึ้นยอดเขาเบน เนวิส (Ben Nevis) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร เพื่อพิสูจน์ความทรหดและความแข็งแกร่งของรถ ที่ต้องฟันฝ่าและปีนป่ายขึ้นเนิน บนสภาพถนนที่มีทั้งหิมะและหินขรุขระตลอดเส้นทาง โดยเขาสามารถขับ รถ ฟอร์ด โมเดลที ขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จโดยใช้เวลาขับถึง 5 วันเต็ม
เดิมทีฟอร์ด โมเดลที มีจำหน่ายหลากหลายสีและโด่งดัง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนวิธีมาสู่การผลิตแบบสายพานในปี 1913 ฟอร์ด โมเดลที ก็ถูกผลิตแต่เพียงสีดำเพียงสีเดียว เนื่องจากสีดำเป็นสีที่แห้งเร็วที่สุด
ฟอร์ด โมเดลที ถูกผลิตต่อเนื่องยาวนาน 19 ปี โดยโมเดลทีคันสุดท้ายออกจากสายการผลิต ณ โรงงานฟอร์ด ไฮแลนด์ ปาร์ค (Highland Park Plant) รัฐมิชิแกน ในวันที่ 26 พฤษภาคม 1927 ซึ่งนับรวมจำนวนการผลิตทั้งหมดได้ถึง 15 ล้านคัน พร้อมการปิดตำนานอย่างสวยหรู ในปี 1999 สำหรับการได้รับตำแหน่งเป็น รถแห่งศตวรรษ (Car of the Century) ซึ่งผ่านการแต่งตั้งโดย Global Automotive Elections Foundation
ข้อมูลและภาพโดยฟอร์ด ประเทศไทย
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลอดระยะเวลาหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ฟอร์ดเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและกลายมาเป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ชั้นนำระดับโลกถึงปัจจุบัน ฟอร์ดผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใน 130 ประเทศใน 5 ทวีปทั่วโลก ได้แก่ ยุโรป เอเชียแปซิฟิก ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ
ทั้งนี้ ภายในระยะเวลา 1 วัน หรือใน 24 ชั่วโมง โรงงานฟอร์ดทั่วโลกสามารถผลิตรถยนต์รวมกันถึง 17,342 คัน โดยพนักงานฟอร์ดทั่วโลกกว่า 183,000 คน ร่วมกันพัฒนาและสร้างสรรค์ยานยนต์มาตรฐานเดียวกันภายใต้แผน One Ford ซึ่งเป็นแผนงานระดับโลกของฟอร์ด
ความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของฟอร์ด มีจุดเริ่มต้นมาจากชายที่มีชื่อว่า “เฮนรี่ ฟอร์ด” (Henry Ford) โดยฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ไม่ได้เป็นบริษัทรถยนต์บริษัทแรกที่ เฮนรี่ ฟอร์ด ก่อตั้งขึ้น เขาทิ้งธุรกิจรถยนต์เดิมที่มีชื่อว่า เดอะ เฮนรี่ ฟอร์ด คัมปะนี (The Henry Ford Company) หลังจากมีปัญหากับผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าวต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ โดยตั้งชื่อตาม Antoine de la Mothe Cadillac นักสำรวจชาวฝรั่งเศสผู้ค้นพบเมืองดีทรอยต์
รถยนต์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของประวัติศาสตร์โลกและตลาดรถยนต์ไปตลอดกาลคือ “ฟอร์ด โมเดลที” คันแรกผลิตขึ้นในปี 1908 และในปี 1916 ร้อยละ 55 ของรถยนต์บนท้องถนนก็คือ ฟอร์ด โมเดลที รุ่นนี้ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ฟอร์ด โมเดลที เป็นที่นิยมอย่างมากคือราคาที่ถูกกว่าถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับราคาของรถยนต์คู่แข่งรายอื่นๆ ในขณะนั้น
ในปี 1911 พนักงานของฟอร์ดชื่อว่า เฮนรี่ อเล็กซ์ซานเดอร์ (Henry Alexander) ขับรถฟอร์ด โมเดลที ขึ้นยอดเขาเบน เนวิส (Ben Nevis) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในสหราชอาณาจักร เพื่อพิสูจน์ความทรหดและความแข็งแกร่งของรถ ที่ต้องฟันฝ่าและปีนป่ายขึ้นเนิน บนสภาพถนนที่มีทั้งหิมะและหินขรุขระตลอดเส้นทาง โดยเขาสามารถขับ รถ ฟอร์ด โมเดลที ขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จโดยใช้เวลาขับถึง 5 วันเต็ม
เดิมทีฟอร์ด โมเดลที มีจำหน่ายหลากหลายสีและโด่งดัง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนวิธีมาสู่การผลิตแบบสายพานในปี 1913 ฟอร์ด โมเดลที ก็ถูกผลิตแต่เพียงสีดำเพียงสีเดียว เนื่องจากสีดำเป็นสีที่แห้งเร็วที่สุด
ฟอร์ด โมเดลที ถูกผลิตต่อเนื่องยาวนาน 19 ปี โดยโมเดลทีคันสุดท้ายออกจากสายการผลิต ณ โรงงานฟอร์ด ไฮแลนด์ ปาร์ค (Highland Park Plant) รัฐมิชิแกน ในวันที่ 26 พฤษภาคม 1927 ซึ่งนับรวมจำนวนการผลิตทั้งหมดได้ถึง 15 ล้านคัน พร้อมการปิดตำนานอย่างสวยหรู ในปี 1999 สำหรับการได้รับตำแหน่งเป็น รถแห่งศตวรรษ (Car of the Century) ซึ่งผ่านการแต่งตั้งโดย Global Automotive Elections Foundation
ข้อมูลและภาพโดยฟอร์ด ประเทศไทย
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring