แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยช่วงครึ่งแรกปีม้าคะนองศึกจะชะลอตัวมาก จนทำให้ค่ายรถต้องปรับลดการผลิตลง พร้อมกับอัดแคมเปญแข่งกันดุเดือด เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น “เอ็มจี” (MG) ยี่ห้อหรือแบรนด์น้องใหม่ ยังคงเดินหน้าบุกตลาดไทยในสัปดาห์หน้านี้ตามแผน รวมถึง “แม็กซัส” (MAGXUS) อีกแบรนด์ในกลุ่มเดียวกับรถยนต์เอ็มจี ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างเซียงไฮ้ ออโตโมทีฟ อินดัสทรี คอร์ปอเรชัน (SAIC) และเครือเจริญโภคภัญฑ์ หรือซีพี(CP) ที่เตรียมจะมาเขย่าตลาดรถตู้อเนกประสงค์เช่นกัน…
“การเปิดตัวรถเอ็มจี 6 (MG6) จากสายการผลิตโรงงานแห่งแรกในไทย ที่ลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท มีกำลังการผลิต 50,000 คันต่อปี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อิสเทิร์น ซีบอร์ด ชลบุรี นับเป็นสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการเข้ามาทำตลาดของรถยนต์เอ็มจี แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย แต่เอ็มจีมองการลงทุนในระยะยาว และเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศไทยในภูมิภาคนี้ จึงได้ลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถพวงมาลัยขวาของเอ็มจี เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกทั่วโลก”
เป็นคำกล่าวของ “หวู่ ฮวน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์เอ็มจีในไทย รวมถึงเอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย บริษัทที่ดูแลการจำหน่าย ทำตลาด และบริการหลังการขาย พร้อมระบุว่าเอ็มจีเป็นแบรนด์รถยนต์อังกฤษที่มานานถึง 90 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1924 แม้ปัจจุบันกลุ่มเอสเอไอซีของจีนจะซื้อกิจการมา แต่มาตรฐานการผลิตและคุณภาพทุกอย่างยังคงความเป็นยุโรป ซึ่งไทยนับเป็นแห่งที่ 3 ที่ผลิตรถพวงมาลัยขวาของเอ็มจี นอกจากโรงงานที่ประเทศอังกฤษและจีนบางส่วนแล้ว
“เอ็มจี 6 จะเปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็นทางในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ รวมถึงราคาที่จะประกาศในวันดังกล่าว ซึ่งเอ็มจี 6 ไม่ใช่รถราคาถูกแต่จะเป็นรถที่มีความเหมาะสมและคุ้มค่าต่อผู้บริโภค สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรถญี่ปุ่นได้ แต่โดดเด่นด้วยมาตรฐานของยุโรป จึงเป็นรถในระดับกลุ่มกลาง-บน โดยมีให้เลือกทั้งตัวถังแบบซีดาน 4 ประตู และฟาสต์แบ็ก 5 ประตู เบื้องต้นสามารถผลิตรองรับลูกค้าในไทยจนถึงสิ้นปีประมาณ 2,000 คัน”
ทั้งนี้รถยนต์เอ็มจี 6 ได้สะท้อนความโดดเด่นในเรื่องแบรนด์และบริทไดนามิค(BRIT DYNAMIC) มาตรฐานการขับขี่แบบอังกฤษที่ผสานคุณสมบัติโดดเด่น 4 ด้าน ได้แก่ สมรรถนะการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ 161 แรงม้า ที่ทำจากอลูมิเนียมแท้ 100% จึงทนทานและน้ำหนักเบา ผสานการทำงานเกียร์อัตโนมัตดูอัลคลัตช์ DCT จึงส่งกำลังและตอบสนองความเร็วได้ตามต้องการ ขณะเดียวกันยังให้การควบคุมรถแม่นยำ ออกแบบสไตล์สปอร์ตแบบอังกฤษ และระบบความปลอดภัยสูงสุด จึงเชื่อว่าจะตอบสนองและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ทั้งนี้รถยนต์เอ็มจี 6 ได้สะท้อนความโดดเด่นในเรื่องแบรนด์และบริทไดนามิค(BRIT DYNAMIC) มาตรฐานการขับขี่แบบอังกฤษที่ผสานคุณสมบัติโดดเด่น 4 ด้าน ได้แก่ สมรรถนะการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร เทอร์โบ 161 แรงม้า ที่ทำจากอลูมิเนียมแท้ 100% จึงทนทานและน้ำหนักเบา ผสานการทำงานเกียร์อัตโนมัตดูอัลคลัตช์ DCT จึงส่งกำลังและตอบสนองความเร็วได้ตามต้องการ ขณะเดียวกันยังให้การควบคุมรถแม่นยำ ออกแบบสไตล์สปอร์ตแบบอังกฤษ และระบบความปลอดภัยสูงสุด จึงเชื่อว่าจะตอบสนองและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
ในส่วนของโชว์รูมและศูนย์บริการ เอ็มจีมีรองรับลูกค้าเบื้องต้นทั้งหมด 22 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 6 แห่ง และต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศอีก 16 แห่ง คาดว่าจะภายในสิ้นปีนี้จะเปิดได้ทั้งหมด 30 แห่ง และพร้อมขยายต่อเนื่องเพื่อรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 14,000 คันในปีหน้า ที่จะมีการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ “เอ็มจี 3” (MG3) และ “เอ็มจี 5” (MG 5) รวมถึงแผนการลงทุนในระยะ 2 (Phase2) ของเอ็มจีในประเทศไทย ซึ่งจะมีการตั้งโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ 500 ไร่ มีกำลังการผลิตประมาณ 150,000 - 200,000 คันต่อปี ภายใน 5 ปีข้างหน้า
ตามรายงานข่าวสินค้ารุ่นหลักของเอ็มจีในปีหน้า จะเป็นรุ่น MG3 ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งแบบซับคอมแพ็กต์ ที่มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.3 และ 1.5 ลิตร 106 แรงม้า โดยจะมีสัดส่วนการขายประมาณเกือบครึ่งของเอ็มจีในประเทศไทย กำหนดเปิดตัวจะมีขึ้นในปี 2558 เช่นเดียวกับเอ็มจี 5 เก๋งซับคอมแพ็กต์เช่นกัน รวมกำลังการผลิตทั้งหมดในปีหน้าเป็น 14,000 คัน และส่วนหนึ่งจะมีการส่งออกไปยังประเทศภูมิภาคอาเซียน เริ่มที่มาเลเซียเป็นประเทศแรก
“ด้วยกำลังการผลิตดังกล่าวของโรงงานแห่งใหม่ในเฟส2 คงลงทุนไม่ต่ำกว่า 30,000 -40,000 ล้านบาท ซึ่งเอ็มจีในประเทศไทยมีอีก 2 โครงการใหญ่ โดยได้มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ในโครงการอีโคคาร์ 2 กับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอไปแล้ว และอีกโครงการกำลังศึกษาแผนการผลิตปิกอัพในไทย แม้ในประเทศจีนจะไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ในไทยนับเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ทางเอสเอไอซีจึงให้ความสนใจตลาดนี้มาก คาดว่าทุกอย่างจะเห็นชัดเจนได้ใน 5 ปีจากนี้ไป”
ไป”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “ธนากร เสรีบุรี” ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมเครือซีพี และประธานกรรมการบริหารบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด… “ตามแผนบริษัทจะมีการเปิดตัวรถใหม่ 7 รุ่น ภายใน 5 ปี ซึ่งนอกจากที่กล่าวมายังมีความสนใจจะทำตลาดรถยนต์โรเว(Roewe) ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เอสเอไอซีผลิตขึ้นมา จากการซื้อเทคโนโลยีจากโรเวอร์ ประเทศอังกฤษ จึงเป็นอีกโมเดลที่สนใจจะนำเข้ามาทำตลาดในอนาคต โดยแบรนด์เอ็มจีและโรเวจะไม่ทับตลาดกันเอง”
นอกจากแบรนด์ “เอ็มจี” จะประเดิมบุกตลาดในไทยแล้ว ในกลุ่มบริษัทร่วมทุนระหว่างเอสเอไอซีและซีพี ยังมีแบรนด์ “แม็กซัส” (MAXUS) ซึ่งดำเนินการทำตลาดและจำหน่ายภายใต้บริษัท แม็กซัส (ไทยแลนด์) จำกัด เพียงแต่ในบริษัทนี้ฝ่ายซีพีจะถือหุ้นมากกว่าเป็น 51% ทำให้ทีมงานส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย นำโดย “อภิเชต สีตกะลิน” กรรมการผู้จัดการ และได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการทำตลาดว่า…
“แม็กซัสเป็นแบรนด์ในกลุ่มเอสเอไอซีเช่นกัน ซึ่งซื้อมาจากบริติช เลย์แลนด์ (British Leyland) จากประเทศอังกฤษ โดยเป็นรถตู้อเนกประสงค์ที่นำเข้าสำเร็จ (CBU) ทั้งคันมาทำตลาดในไทย มีให้เลือก 2 แบบ รถตู้อเนกประสงค์ขนาด 16 ที่นั่ง ราคา 1.39 ล้านบาท และมีรุ่นวีไอพีตกแต่งหรูหรา 12 ที่นั่ง ราคายังสรุปในเดือนกรกฎาคมเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาทขึ้นไป”
สำหรับแม็กซัสเป็นรถตู้อเนกประสงค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าในตลาดไทยทั่วไป ระดับเดียวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทรานซิส (Mercedes-Benz Transit) แต่มีราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย และใกล้เคียงกับรุ่นหลักๆ ในตลาดรถตู้อเนกประสงค์ของไทยปัจจุบัน ด้วยการวางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ขนาด 2.5 ลิตร 136 แรงม้า บล็อกเดียวกับที่วางในเอสยูวี “จี๊บ แกรนด์เชโรกี”
“แม็กซัสเป็นแบรนด์ในกลุ่มเอสเอไอซีเช่นกัน ซึ่งซื้อมาจากบริติช เลย์แลนด์ (British Leyland) จากประเทศอังกฤษ โดยเป็นรถตู้อเนกประสงค์ที่นำเข้าสำเร็จ (CBU) ทั้งคันมาทำตลาดในไทย มีให้เลือก 2 แบบ รถตู้อเนกประสงค์ขนาด 16 ที่นั่ง ราคา 1.39 ล้านบาท และมีรุ่นวีไอพีตกแต่งหรูหรา 12 ที่นั่ง ราคายังสรุปในเดือนกรกฎาคมเป็นทางการ แต่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.6-1.7 ล้านบาท"
สำหรับแม็กซัสเป็นรถตู้อเนกประสงค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าในตลาดไทยทั่วไป ระดับเดียวกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทรานซิส (Mercedes-Benz Transit) แต่มีราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย และใกล้เคียงกับรุ่นหลักๆ ในตลาดรถตู้อเนกประสงค์ของไทยปัจจุบัน ด้วยการวางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล ขนาด 2.5 ลิตร 136 แรงม้า บล็อกเดียวกับที่วางในเอสยูวี “จี๊บ แกรนด์เชโรกี”
ปัจจุบันแม็กซัสได้มีการเปิดจำหน่ายอย่างไม่เป็นทางการ ตามโชว์รูมและศูนย์บริการ 12 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าถึงสิ้นปีจะมีทั้งหมด 18 แห่ง ซึ่งหากจองซื้อช่วงนี้จะได้รับรถประมาณเดือนกรฏาคม แต่กำหนดการเปิดตัวทำตลาดและวางจำหน่าย รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ จะมีขึ้นในช่วงปลายปีหรืองานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014
นีคือแผนรุกตลาดรถยนต์ไทยของ 2 แบรนด์ “เอ็มจี-แม็กซัส” และรถยนต์อื่นๆ ที่จะตามมาอีกในอนาคต จากการผสานธุรกิจของ 2 กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ระหว่างเซียงไฮ้ ออโตโมบิล อินดันทรี คอร์ปอเรชั่น และเครือเจริญโภคภัณฑ์ของไทย ซึ่งคงต้องดูต่อไป… คนไทยจะให้โอกาสหรือไม่?