“เมอร์เซเดส-เบนซ์” นับเป็นค่ายรถที่มาแรงสวนภาพรวมตลาดจริงๆ เพราะเป็นเพียง 1 ใน 2 ค่าย(ซูบารุเป็นอีกราย) ที่สามารถทำยอดขายเติบโต โดยช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ขายไปกว่า 2,200 คัน เทียบกับปีที่ผ่านมาพุ่ง 20% ขณะที่ภาพรวมตลาดร่วงกว่า 45% นั่นเป็นเพราะการปรับตัวในเรื่องของผลิตภัณฑ์ต่างๆ และกลยุทธ์ใหม่ที่นำมาใช้ เพื่อรองรับพฤติกรรมกรรม หรือค่านิยมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะให้จับตาจากนี้ไป...
“ในไตรมาสแรกปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังสามารถรักษาการเติบโตต่อเนื่อง แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยจะลดลงอย่างมาก เป็นเพราะการมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้าได้ ประกอบกับมีราคาเหมาะสม โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเอ-คลาส หรือซีแอลเอ รวมถึงล่าสุดได้มีการแนะนำรุ่นสำคัญอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส โฉมใหม่ และคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นจีแอลเอ ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2014 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปก็ตาม”
เป็นคำอธิบายของ “กฤษณะกร เศวตนันทน์” ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่ใช่ว่าความสำเร็จดังกล่าวจะทำให้ไม่กังวล โดยเฉพาะทิศทางของตลาดในอนาคตจะเป็นอย่างไร? เหตุนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงได้ทำการวิจัยเรื่องอนาคตของธุรกิจยานยนต์ ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มด้านทัศนคติ และความคาดหวังของผู้บริโภค ที่มีผลกระทบต่อทิศทางของอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์ เพื่อนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป
เปิดเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่
กฤษณะกล่าวถึงผลการสำรวจพบว่า.... พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไปจากในอดีต 4 เรื่องด้วยกัน คือหนึ่งผู้บริโภคหันมาเลือกใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด หรือรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น สองผู้บริโภคนิยมใช้สื่อออนไลน์ในการติดต่อสื่อสาร และค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้น
เรื่องที่สามคือลูกค้ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากการเลือกซื้อและถือครองกรรมสิทธิ์รถยนต์ด้วยตนเอง ไปสู่การครอบครองในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นทางเลือกอื่นๆ และสุดท้ายแนวโน้มที่ผู้บริโภคนิยมหันมาเลือกใช้บริการกับผู้จำหน่ายรถยนต์ที่มีความเป็นมืออาชีพด้านธุรกิจฟลีท และรถใช้แล้วอย่างครบวงจร และมีบริการที่สามารถตอบสนองทุก ความต้องการของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้แนวโน้มดังกล่าว พิจารณาจากภาพรวมๆ ทั่วโลก รถพลังงานทางเลือกเริ่มเป็นนิยมของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รุกหนักเช่นกัน เห็นได้จากการทำตลาดเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส บลูเทค ไฮบริด และเอส-คลาส บลูเทค ไฮบริด
นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้เปิดตัว Intelligent HYBRID ระบบนำทางมาเสริมไฮบริด ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และเตรียมพัฒนาขุมพลังไฮบริดใหม่ ให้กับรถที่ใช้แพลตฟอร์ม MFA หรือรถยนต์คอมแพ็กต์คาร์ ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดสเบนซ์ เอ-คลาส, บี-คลาส, ซีแอลเอ หรือจีแอลเอ ซึ่งเป็นรถที่มุ่งจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญ ที่ผลักดันให้เมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดขายเติบโตในปัจจุบัน ด้วยการจับคู่ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ เพื่อทำตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า
ซุ่มพัฒนารถเจาะไลฟ์สไตล์
ไม่เพียงเรื่องของรถพลังงานทางเลือก เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภค นอกจากกกลุ่มรถยนต์คอมแพ็กต์คาร์ที่ยกทัพบุกตลาดมาแล้ว โดยได้การเผยโฉมเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส คูเป้ ในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกตัวถังมาเสริมความหลากหลายให้กับเอส-คลาส กับความสปอร์ตและขุมพลังเครื่องยนต์ V8 4,663 ซีซี Bi-Turbo 455 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร แต่ยังคงความทันสมัยและหรูหรา เห็นได้จากกระจังที่ดูมิติยังกับเพชร และไฟหน้าประดับคริสตัล Swarovski 47 เม็ด ซึ่งกำหนดวางตลาดช่วงครึ่งหลังปีนี้ หรือแบบแรงสุดๆ กับรุ่นที่เพิ่งส่งตามออกมา เอส63 เอเอ็มจี คูเป้ ที่วางขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน V8 5.5 ลิตร เทอร์โบคู่ 577 แรงม้า
แต่ที่ฮือฮาล่าสุดเห็นจะเป็นการเผยโฉม เมอร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซ็ปต์ คูเป้ เอสยูวี (Concept Coupe SUV) ในงานปักกิ่ง ออโตโชว์ 2014 จะว่าไปมันก็คือคู่แข่งของ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์6 (BMW X6) เอสยูวีสไตล์คูเป้นั่นเอง ซึ่งตามข่าวจะขึ้นไลน์ผลิตในปี 2015 ภายใต้ชื่อรุ่นเอ็มแอลซี (MLC) และยังเตรียมรุกตลาดคูเป้เอสยูวีต่อเนื่อง ด้วยการจับรุ่นจีแอลเอ(GLA) มาทำหลังคาและปั้นท้ายในแบบคูเป้ เพื่อชนกับบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์4(BMW X4) ที่จะขึ้นไลน์ผลิตในปีหน้าเช่นกัน
แน่นอนว่ารถเหล่านี้เมื่อขึ้นสายการผลิต เมอร์เซเดส-เบนซ์จะต้องทยอยเข้ามาบุกตลาดในไทย เพื่อเพิ่มความหลากหลายของทางเลือก ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และน่าจะเปิดตัวไล่ๆ กับต่างประเทศ ตามนโยบายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยปัจจุบัน
งัดกลยุทธ์รับค่านิยมผู้บริโภค
ส่วนอีกปัจจัยที่น่าจับตามอง นั่นคือพฤติกรรมการเลือกซื้อและครอบครองรถ ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบอื่นๆ เพราะระยะเวลาใช้งานน้อยลง เปลี่ยนรถเร็วขึ้น และมีปัญหาราคารถตกมาก ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้รถเช่า หรือซื้อในนามองค์กร หรือเรียกกันว่าธุรกิจรถฟลีท(Fleet) โดยปัจจุบันกำลังเป็นกระแสที่มาแรง เห็นได้จากในตลาดประเทศพัฒนาอย่างยุโรปตะวันตก มีการขายผ่านช่องทางฟลีทสูงถึง 50% ของจำนวนยอดขายรถหรูทั้งหมดในปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าไทยจะไปในทิศทางนี้เช่นเดียวกัน
“ในไทยได้เปิดตัว Mercedes-Benz Corporate Solutions เพื่อรองรับผู้บริโภคที่นิยมหันมาเช่ารถใช้แทน เพราะเมื่อหมดสัญญาเช่าอาจจะเป็น 3 ปี สามารถเปลี่ยนรถใหม่รุ่นไหนก็ได้ และไม่ต้องห่วงเรื่องราคาขายต่อ รวมทั้งภาระการเซอร์วิสและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างรุ่นซี-คลาสจะมีค่าเช่าอยู่ประมาณเดือนละ 4-5 หมื่นบาท อาจจะแพงกว่าผ่อนจ่าย แต่สามารถตัดภาระต่างๆ ดังกล่าวออกไป รวมทั้งยังนำค่าเช่าไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อีกด้วย จึงเป็นกระแสที่กำลังนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากธุรกิจฟรีทของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในไทยโตกว่า 100% ในปีที่ผ่านมา และปีนี้จะรุกตลาดธุรกิจฟลีทมากขึ้น ด้วยการให้มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรถฟลีทประจำเกือบทุกโชว์รูม” กฤษณะกรกล่าว
นอกจากนี้เพื่อรองรับการเปลี่ยนรถ หรือขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่อยากจะขับเมอร์เซเดส-เบนซ์ในราคาเริ่มต้นล้านกว่าๆ จึงได้เปิด Proven Exclusivit หรือธุรกิจรถเมอร์เซเดส-เบนซ์มือสอง ที่จะทำครบวงจรทั้งการรับซื้อและขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป ภายใต้มาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่นิยมการสื่อสารออนไลน์ ค้นหารุ่นรถยนต์ใช้แล้วของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่เว็บไซต์ www.mercedes-benz.co.th/benzproven และwww.benzproven.com
นับเป็นการรุกตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มุ่งตอบรับพฤติกรรมใหม่ๆ ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ค่ายตราดาวเติบโตเช่นนี้ต่อไป?!…
“ในไตรมาสแรกปีนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังสามารถรักษาการเติบโตต่อเนื่อง แม้ภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทยจะลดลงอย่างมาก เป็นเพราะการมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้าได้ ประกอบกับมีราคาเหมาะสม โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเอ-คลาส หรือซีแอลเอ รวมถึงล่าสุดได้มีการแนะนำรุ่นสำคัญอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส โฉมใหม่ และคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นจีแอลเอ ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2014 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปก็ตาม”
เป็นคำอธิบายของ “กฤษณะกร เศวตนันทน์” ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่ใช่ว่าความสำเร็จดังกล่าวจะทำให้ไม่กังวล โดยเฉพาะทิศทางของตลาดในอนาคตจะเป็นอย่างไร? เหตุนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงได้ทำการวิจัยเรื่องอนาคตของธุรกิจยานยนต์ ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มด้านทัศนคติ และความคาดหวังของผู้บริโภค ที่มีผลกระทบต่อทิศทางของอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์ เพื่อนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป
เปิดเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่
กฤษณะกล่าวถึงผลการสำรวจพบว่า.... พฤติกรรมผู้บริโภคมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไปจากในอดีต 4 เรื่องด้วยกัน คือหนึ่งผู้บริโภคหันมาเลือกใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นไฮบริด หรือรถไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น สองผู้บริโภคนิยมใช้สื่อออนไลน์ในการติดต่อสื่อสาร และค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้น
เรื่องที่สามคือลูกค้ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากการเลือกซื้อและถือครองกรรมสิทธิ์รถยนต์ด้วยตนเอง ไปสู่การครอบครองในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นทางเลือกอื่นๆ และสุดท้ายแนวโน้มที่ผู้บริโภคนิยมหันมาเลือกใช้บริการกับผู้จำหน่ายรถยนต์ที่มีความเป็นมืออาชีพด้านธุรกิจฟลีท และรถใช้แล้วอย่างครบวงจร และมีบริการที่สามารถตอบสนองทุก ความต้องการของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริงมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้แนวโน้มดังกล่าว พิจารณาจากภาพรวมๆ ทั่วโลก รถพลังงานทางเลือกเริ่มเป็นนิยมของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รุกหนักเช่นกัน เห็นได้จากการทำตลาดเมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส บลูเทค ไฮบริด และเอส-คลาส บลูเทค ไฮบริด
นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังได้เปิดตัว Intelligent HYBRID ระบบนำทางมาเสริมไฮบริด ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และเตรียมพัฒนาขุมพลังไฮบริดใหม่ ให้กับรถที่ใช้แพลตฟอร์ม MFA หรือรถยนต์คอมแพ็กต์คาร์ ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดสเบนซ์ เอ-คลาส, บี-คลาส, ซีแอลเอ หรือจีแอลเอ ซึ่งเป็นรถที่มุ่งจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญ ที่ผลักดันให้เมอร์เซเดส-เบนซ์มียอดขายเติบโตในปัจจุบัน ด้วยการจับคู่ระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ เพื่อทำตลาดในอีก 2 ปีข้างหน้า
ซุ่มพัฒนารถเจาะไลฟ์สไตล์
ไม่เพียงเรื่องของรถพลังงานทางเลือก เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภค นอกจากกกลุ่มรถยนต์คอมแพ็กต์คาร์ที่ยกทัพบุกตลาดมาแล้ว โดยได้การเผยโฉมเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส คูเป้ ในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอีกตัวถังมาเสริมความหลากหลายให้กับเอส-คลาส กับความสปอร์ตและขุมพลังเครื่องยนต์ V8 4,663 ซีซี Bi-Turbo 455 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร แต่ยังคงความทันสมัยและหรูหรา เห็นได้จากกระจังที่ดูมิติยังกับเพชร และไฟหน้าประดับคริสตัล Swarovski 47 เม็ด ซึ่งกำหนดวางตลาดช่วงครึ่งหลังปีนี้ หรือแบบแรงสุดๆ กับรุ่นที่เพิ่งส่งตามออกมา เอส63 เอเอ็มจี คูเป้ ที่วางขุมกำลังเครื่องยนต์เบนซิน V8 5.5 ลิตร เทอร์โบคู่ 577 แรงม้า
แต่ที่ฮือฮาล่าสุดเห็นจะเป็นการเผยโฉม เมอร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซ็ปต์ คูเป้ เอสยูวี (Concept Coupe SUV) ในงานปักกิ่ง ออโตโชว์ 2014 จะว่าไปมันก็คือคู่แข่งของ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์6 (BMW X6) เอสยูวีสไตล์คูเป้นั่นเอง ซึ่งตามข่าวจะขึ้นไลน์ผลิตในปี 2015 ภายใต้ชื่อรุ่นเอ็มแอลซี (MLC) และยังเตรียมรุกตลาดคูเป้เอสยูวีต่อเนื่อง ด้วยการจับรุ่นจีแอลเอ(GLA) มาทำหลังคาและปั้นท้ายในแบบคูเป้ เพื่อชนกับบีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์4(BMW X4) ที่จะขึ้นไลน์ผลิตในปีหน้าเช่นกัน
แน่นอนว่ารถเหล่านี้เมื่อขึ้นสายการผลิต เมอร์เซเดส-เบนซ์จะต้องทยอยเข้ามาบุกตลาดในไทย เพื่อเพิ่มความหลากหลายของทางเลือก ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค และน่าจะเปิดตัวไล่ๆ กับต่างประเทศ ตามนโยบายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยปัจจุบัน
งัดกลยุทธ์รับค่านิยมผู้บริโภค
ส่วนอีกปัจจัยที่น่าจับตามอง นั่นคือพฤติกรรมการเลือกซื้อและครอบครองรถ ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบอื่นๆ เพราะระยะเวลาใช้งานน้อยลง เปลี่ยนรถเร็วขึ้น และมีปัญหาราคารถตกมาก ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้รถเช่า หรือซื้อในนามองค์กร หรือเรียกกันว่าธุรกิจรถฟลีท(Fleet) โดยปัจจุบันกำลังเป็นกระแสที่มาแรง เห็นได้จากในตลาดประเทศพัฒนาอย่างยุโรปตะวันตก มีการขายผ่านช่องทางฟลีทสูงถึง 50% ของจำนวนยอดขายรถหรูทั้งหมดในปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าไทยจะไปในทิศทางนี้เช่นเดียวกัน
“ในไทยได้เปิดตัว Mercedes-Benz Corporate Solutions เพื่อรองรับผู้บริโภคที่นิยมหันมาเช่ารถใช้แทน เพราะเมื่อหมดสัญญาเช่าอาจจะเป็น 3 ปี สามารถเปลี่ยนรถใหม่รุ่นไหนก็ได้ และไม่ต้องห่วงเรื่องราคาขายต่อ รวมทั้งภาระการเซอร์วิสและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างรุ่นซี-คลาสจะมีค่าเช่าอยู่ประมาณเดือนละ 4-5 หมื่นบาท อาจจะแพงกว่าผ่อนจ่าย แต่สามารถตัดภาระต่างๆ ดังกล่าวออกไป รวมทั้งยังนำค่าเช่าไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อีกด้วย จึงเป็นกระแสที่กำลังนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากธุรกิจฟรีทของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในไทยโตกว่า 100% ในปีที่ผ่านมา และปีนี้จะรุกตลาดธุรกิจฟลีทมากขึ้น ด้วยการให้มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับรถฟลีทประจำเกือบทุกโชว์รูม” กฤษณะกรกล่าว
นอกจากนี้เพื่อรองรับการเปลี่ยนรถ หรือขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่อยากจะขับเมอร์เซเดส-เบนซ์ในราคาเริ่มต้นล้านกว่าๆ จึงได้เปิด Proven Exclusivit หรือธุรกิจรถเมอร์เซเดส-เบนซ์มือสอง ที่จะทำครบวงจรทั้งการรับซื้อและขายให้กับผู้บริโภคทั่วไป ภายใต้มาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่นิยมการสื่อสารออนไลน์ ค้นหารุ่นรถยนต์ใช้แล้วของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่เว็บไซต์ www.mercedes-benz.co.th/benzproven และwww.benzproven.com
นับเป็นการรุกตลาดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่มุ่งตอบรับพฤติกรรมใหม่ๆ ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ค่ายตราดาวเติบโตเช่นนี้ต่อไป?!…
