ปัจจุบันมีนวัตกรรมรถยนต์และยางรถยนต์ประหยัดน้ำมันจากหลากหลายค่ายผู้ผลิต ที่ชูเทคโนโลยีชั้นเยี่ยมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ายานพาหนะเลยก็คือ พฤติกรรมของผู้ขับขี่ ไม่ว่าเราจะขับรถรุ่นไหน ยี่ห้ออะไร ก็สามารถช่วยลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ ทั้งยังช่วยประหยัดค่าน้ำมัน และช่วยให้ยางรถยนต์ใช้ได้นาน ลดการสึกของดอกยางก่อนเวลาอันควร และไม่ต้องเปลี่ยนยางบ่อยๆ อีกด้วย ซึ่งต่อไปนี้คือเทคนิคง่ายๆจากกู๊ดเยียร์ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้
1.ขับรถให้ช้าลง: ระดับความเร็วที่เหมาะสมและช่วยประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดควรอยู่ที่ระหว่าง 50 - 70 กม./ชม. เคล็ดลับที่ง่ายที่สุดในการประหยัดน้ำมันก็คือ ลดความเร็วและขับขี่ตามอัตราความเร็วที่กำหนดไว้บนถนน
2.หลีกเลี่ยงการขับรถแบบกระโชกโฮกฮาก (aggressive driving): ค่อยๆ เร่งเครื่องและเปลี่ยนเกียร์อย่างช้าๆ จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 20% ทั้งยังช่วยลดการสึกหรอของยางอีกด้วย สำหรับทริปการเดินทางไกล ควรใช้ระบบ cruise control เพื่อคงระดับความเร็วให้คงที่
3.อย่าใช้รถยนต์เป็นห้องเก็บของ: รถยนต์ที่บรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกๆ 50 กิโลกรัม จะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 1-2% ดังนั้น ย้ายสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถเพื่อลดปริมาณการเผาผลาญเชื้อเพลิง และลดการสึกหรอที่ไม่จำเป็นของยาง
4.หมั่นตรวจเช็คความดันลมเป็นประจำทุกเดือน: ลมยางที่ไม่มากไป ไม่น้อยไปจะช่วยให้การใช้น้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลมยางอ่อนจะทำให้มีการสึกหรอของดอกยางบริเวณขอบด้านนอก (หรือไหล่ยาง) เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความร้อนอันเป็นสาเหตุให้ความทนทานของยางลดลง และยังทำให้รถมีการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ทำให้ยางได้รับความเสียหายเร็วขึ้นและสึกหรอมากขึ้น ส่งผลให้อายุการใช้งานของยางลดลง
5.ปรับถ่วงล้อยางให้สมดุลตลอดเวลา: ควรปรับสมดุลของยางอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทันทีที่มีอาการสั่นของล้อหรือพวงมาลัย ยางที่ไม่ได้ปรับถ่วงสมดุลจะทำให้รถสั่นขณะวิ่งบนท้องถนน และผู้ขับขี่จะเกิดความเมื่อยล้าในการบังคับรถ และทำให้ยางสึกกร่อนก่อนเวลาอันควร การปรับถ่วงสมดุลให้แก่ยางและรถจะทำให้ยางสามารถใช้งานได้นานขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และให้ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
6.หมั่นตรวจสอบยางอยู่เสมอ: เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษหินหรือสิ่งแหลมคมติดอยู่ ที่อาจเป็นสาเหตุของรูรั่ว ถึงแม้รูบนหน้ายางจะไม่ลึกพอที่จะทำให้ยางแบนทันที แต่อาจทำให้ยางมีรอยแตกหรือเป็นร่องบุ๋ม ส่งผลให้ยางไร้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
7.ซ่อมแซมยางทันที: ควรรู้ว่า เมื่อไรที่ควรจะซ่อมและเปลี่ยนยาง หากพบว่ายางแบน ไม่มีลม ให้ถอดยางออกจากล้อเพื่อนำไปตรวจเช็คความเสียหาย ยางที่แบนแม้จะวิ่งในระยะทางสั้นๆ ก็อาจได้รับความเสียหายจนไม่สามารถนำมาซ่อมแซมได้ และอาจทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายมากขึ้น นอกจากนี้ การซ่อมยางควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
8.ซื้อยางคุณภาพดี: การซื้อยางที่มีความทนทาน คุณภาพดี และมีแรงต้านทานการหมุนของยางรถยนต์ต่ำ จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ในระยะยาว
เรื่อง - ภาพ จาก กู๊ดเยียร์
1.ขับรถให้ช้าลง: ระดับความเร็วที่เหมาะสมและช่วยประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดควรอยู่ที่ระหว่าง 50 - 70 กม./ชม. เคล็ดลับที่ง่ายที่สุดในการประหยัดน้ำมันก็คือ ลดความเร็วและขับขี่ตามอัตราความเร็วที่กำหนดไว้บนถนน
2.หลีกเลี่ยงการขับรถแบบกระโชกโฮกฮาก (aggressive driving): ค่อยๆ เร่งเครื่องและเปลี่ยนเกียร์อย่างช้าๆ จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 20% ทั้งยังช่วยลดการสึกหรอของยางอีกด้วย สำหรับทริปการเดินทางไกล ควรใช้ระบบ cruise control เพื่อคงระดับความเร็วให้คงที่
3.อย่าใช้รถยนต์เป็นห้องเก็บของ: รถยนต์ที่บรรทุกน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกๆ 50 กิโลกรัม จะกินน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 1-2% ดังนั้น ย้ายสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถเพื่อลดปริมาณการเผาผลาญเชื้อเพลิง และลดการสึกหรอที่ไม่จำเป็นของยาง
4.หมั่นตรวจเช็คความดันลมเป็นประจำทุกเดือน: ลมยางที่ไม่มากไป ไม่น้อยไปจะช่วยให้การใช้น้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลมยางอ่อนจะทำให้มีการสึกหรอของดอกยางบริเวณขอบด้านนอก (หรือไหล่ยาง) เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความร้อนอันเป็นสาเหตุให้ความทนทานของยางลดลง และยังทำให้รถมีการกระจายน้ำหนักที่ไม่สมดุล ทำให้ยางได้รับความเสียหายเร็วขึ้นและสึกหรอมากขึ้น ส่งผลให้อายุการใช้งานของยางลดลง
5.ปรับถ่วงล้อยางให้สมดุลตลอดเวลา: ควรปรับสมดุลของยางอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือทันทีที่มีอาการสั่นของล้อหรือพวงมาลัย ยางที่ไม่ได้ปรับถ่วงสมดุลจะทำให้รถสั่นขณะวิ่งบนท้องถนน และผู้ขับขี่จะเกิดความเมื่อยล้าในการบังคับรถ และทำให้ยางสึกกร่อนก่อนเวลาอันควร การปรับถ่วงสมดุลให้แก่ยางและรถจะทำให้ยางสามารถใช้งานได้นานขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และให้ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
6.หมั่นตรวจสอบยางอยู่เสมอ: เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษหินหรือสิ่งแหลมคมติดอยู่ ที่อาจเป็นสาเหตุของรูรั่ว ถึงแม้รูบนหน้ายางจะไม่ลึกพอที่จะทำให้ยางแบนทันที แต่อาจทำให้ยางมีรอยแตกหรือเป็นร่องบุ๋ม ส่งผลให้ยางไร้ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
7.ซ่อมแซมยางทันที: ควรรู้ว่า เมื่อไรที่ควรจะซ่อมและเปลี่ยนยาง หากพบว่ายางแบน ไม่มีลม ให้ถอดยางออกจากล้อเพื่อนำไปตรวจเช็คความเสียหาย ยางที่แบนแม้จะวิ่งในระยะทางสั้นๆ ก็อาจได้รับความเสียหายจนไม่สามารถนำมาซ่อมแซมได้ และอาจทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลายมากขึ้น นอกจากนี้ การซ่อมยางควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
8.ซื้อยางคุณภาพดี: การซื้อยางที่มีความทนทาน คุณภาพดี และมีแรงต้านทานการหมุนของยางรถยนต์ต่ำ จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ในระยะยาว
เรื่อง - ภาพ จาก กู๊ดเยียร์