ในขณะที่ตลาดเก๋งเล็กกำลังแข่งกันดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญต่างๆ และรถรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว อย่าง “โตโยต้า ยาริส” หรือ “ฮอนด้า ซิตี้” แต่ยังมีอีกตลาดที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน นั่นคือกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ ทั้งแบบพีพีวี(PPV) และเอสยูวี (SUV) ซึ่งเตรียมจ่อคิวแนะนำสู่ตลาดกันคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นใหม่ โมเดลเชนจ์ ปรับแต่งเครื่องยนต์ใหม่ ไปจนถึงแต่งหน้าทาปากเพิ่มสีสันมากขึ้น…
โดยที่สร้างความฮือฮาเห็นจะเป็นการเปิดตัวโฉมใหม่ของ “อีซูซุ มิว-7” (Isuzu MU-7) หลังจากมีการปล่อยทีเซอร์แรกออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เตรียมพบกับรถอเนกประสงค์อีซูซุ มิว-7 ภายใต้ชื่อทำตลาดใหม่ “อีซูซู มิว-เอ็กซ์” ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการตอกย้ำข้อเท็จจริงของกระแสข่าวในโลกออนไลน์ รวมถึงในเว็บไซต์ “ASTVผู้จัดการ” หน้ามอเตอริ่ง ที่ได้รวบรวมข้อมูลมาแจ้งไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน
ทั้งนี้รูปลักษณ์ด้านหน้าของอีซูซุ มิว-เอ็กซ์ จะเหมือนกับปิกอัพดี-แมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ แต่ได้มีการปรับรายละเอียดกระจังและกันชนหน้าใหม่ มาพร้อมกับไฟตัดหมอก และDaylight ซึ่งช่วงล่างเป็นแบบคอยสปริง และโช้คอัพแก๊ส ขณะที่ภายในแผงคอนโซลแทบไม่ต่างจากปิกอัพ ซึ่งทุกรุ่น(ยกเว้นตัวต่ำของรุ่น 2.5 ลิตร) มากับจอ DVD ขนาด 7 นิ้ว และระบบนำทาง ตลอดจนปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย และมีจอขนาด 10.5 นิ้ว บริเวณที่นั่งตอนสอง
โดยพีพีวีรุ่นใหม่ของอีซูซุจากข้อมูลที่หลุดออกมาทางโลกออนไลน์ ซึ่งมาจากตัวแทนขายที่เข้ารับการอบรมไปแล้ว มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ทั้งจากเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.5 ลิตร VGS และ 3.0 ลิตร VGS ที่วางอยู่ในปิกอัพดี-แมคซ์ หรือเครื่องยนต์ละ 2 รุ่นย่อย แต่จะมีทำตลาดเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ มีเฉพาะในรุ่น 3.0 VGS ราคาเริ่มต้นประมาณกว่า 1.06 - 1.33 ล้านบาท ส่วนจะแตกต่างจากนี้หรือไม่? ต้องรอกำหนดเปิดตัวแนะนำกับสื่อมวลชนในวันที่ 31 ต.ค.นี้
ขณะที่พันธมิตรค่าย “เชฟโรเลต” ได้มีการปรับตัวรับศึกเช่นกัน ด้วยการแนะนำเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล “ดูราแม็กซ์” เจนเนอเรชั่นใหม่ เพื่อติดตั้งในปิกอัพเชฟโรเลต โคโลราโด และพีพีวี “เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์” ส่งผลให้เครื่องยนต์มีพละกำลังและแรงบิดสูงที่สุดในตลาด และอัตราการปล่อยไอเสียต่ำ รวมถึงความแข็งแกร่งและทนทานมากขึ้น เห็นได้จากรุ่น 2.8 ลิตร ที่ติดตั้งชิ้นส่วนใหม่ อย่างระบบหล่อเย็นเทอร์โบแปรผัน รางระบบเชื้อเพลิงคอมมอนเรล แรงดันสูงชุดใหม่ ระบบวาล์วหมุนเวียนไอเสียควบคุมด้วยไฟฟ้าชุดใหม่ ท่อร่วมไอดีใหม่ ฝาสูบใหม่ เสื้อสูบใหม่ รวมถึงการติดตั้งเพลาถ่วงสมดุลและกล่องสมองกลควบคุม(ECM) ใหม่ทั้งหมด
ด้วยการพัฒนาระบบวิศวกรรมใหม่ ทำให้เครื่องยนต์ดูราแม็กซ์เจนเนอเรชั่นใหม่ มีพละกำลังสูงที่สุดในระดับเดียวกัน โดยรุ่น 2.8 ลิตร มีแรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบ/นาที นั่นหมายถึงอัตราเร่งที่ทันใจ พร้อมศักยภาพการบรรทุกและลากจูงที่โดดเด่น ขณะที่พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 200 แรงม้า (เดิม 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 178 นิวตัน-เมตร)ส่วนรุ่น 2.5 ลิตร ให้กำลัง 163 แรงม้า(เดิม 150 แรงม้า)
ส่วนเจ้าตลาดพีพีวี “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” มีการชิงดันยอดขายไปก่อน แม้จะไม่ได้ปรับรูปลักษณ์ใหม่ แต่ได้เพิ่มความหรูหราและสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมกับปรับรุ่น 2.5G 5A/T ขยับเปลี่ยนเป็นรุ่น 2.5V 5A/T แทน และในรุ่นขายดี ฟอร์จูนเนอร์ TRD Sportivo ทำการเพิ่มออปชันเข้าไปเช่นกัน ขณะที่อันดับสองของตลาด “มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต” น่าจะขยับในเร็วๆ นี้เช่นกัน เพราะในต่างประเทศอย่างออสเตรเลีย ได้มีการแต่งหน้าทาปากใหม่ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม รุ่นปรับโฉมใหม่ หรือโมเดลเชนจ์ของมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ คงจะต้องรออีกประมาณ 1-2 ปี เพราะตามแผนปิกอัพที่เป็นพื้นฐานการพัฒนาพีพีวีทั้งสอง จะแนะนำสู่ตลาดในปีหน้า หรือไม่เกินปี 2558 จากนั้นจึงจะเป็นคิวของพีพีวีทั้งสองรุ่น แต่โมเดลใหม่ของพีพีวีอีกรุ่น “ฟอร์ด เอเวอเรสต์” (Ford Everest) น่าจะได้เห็นภายในปี 2557 นี้ เพราะได้มีการเผยภาพคันต้นแบบออกมาแล้ว และตามข่าวจะเปิดตัวช่วงกลางปีหน้า
โดยตัวรถของ “ฟอร์ด เอเวอเรสต์” โฉมใหม่ แน่นอนย่อมพัฒนาบนพื้นฐานของแชสซีส์เดียวกับ ปิกอัพ ฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ทำตลาดอยู่ในตอนนี้ ซึ่งรวมถึงโครงสร้างแบบ Ladder Chassis เครื่องยนต์ เกียร์ และระบบช่วงล่าง ขณะที่ในแง่ของการออกแบบ พบว่าจะมีการอ้างอิงเส้นสายที่ให้สัมผัสแห่งความบึกบึน แบบเดียวกับในเรนเจอร์ใหม่ ผสมผสานกับแนวเส้นสายของรุ่นเอคโคสปอร์ต ซึ่งเป็นซับคอมแพกต์เอสยูวีที่กำลังจะเข้ามาทำตลาดในไทยเร็วๆ นี้
นั่นหมายความว่าก่อนจะพบกับรถอเนกประสงค์แบบพีพีวีรุ่นเอเวอเรสต์ ฟอร์ดจะเปิดตลาดใหม่ในไทยกับเอสยูวีขนาดซับคอมแพกต์ “ฟอร์ด เอคโคสปอร์ต” (Ford EcoSport) ซึ่งคงได้เห็นหน้าค่าตาไปแล้ว ทั้งที่ทำตลาดในต่างประเทศ และรถนำมาแสดงในงานมอเตอร์โชว์ของไทย หรือภาพถ่ายขณะวิ่งทดสอบในไทยแบบเห็นชัดๆ และจากข้อมูลล่าสุดที่ฟอร์ด ประเทศไทย ระบุว่าการพัฒนารถรุ่นนี้ออกมาเพื่อเป็นรถเอสยูวีของคนเมือง (Urban SUV)
ฟอร์ด เอคโคสปอร์ต เบื้องต้นทำตลาดในไทยกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.5 ลิตร 108 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 138 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติพาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด และมาพร้อมกับนวัตกรรมล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) เซ็นเซอร์ด้านหลังช่วยถอยจอด และระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร ฟอร์ด ซิงค์ (Ford SYNC®) อันโดดเด่นของฟอร์ด
แต่งานนี้เอคโคสปอร์ตคงต้องเจอคู่แข่งเสียแล้ว เมื่อนิสสันเตรียมนำเข้ารุ่น “จู๊ค” (Nissan Juke) ซึ่งหลายคนเฝ้ารอมานาน และที่สุดในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 นี้จะได้ถอยเสียที โดยรุ่นทำตลาดในไทยจะวางเครื่องยนต์ HR16DE ที่วางในเก๋งรุ่นซิลฟี เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร (ไม่มีรุ่นเทอร์โบ) ต่างจากเวอร์ชันขายในอินโดนีเซียที่เป็นโรงงานประกอบ กลับวาง HR15DE ขนาด 1.5 ลิตร
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเอสยูวีขนาดใหญ่ขึ้น หรือระดับคอมแพกต์เอสยูวี ซึ่งทางนิสสัน มอเตอร์ส ประเทศไทยไม่ทำให้ผิดหวัง มีข่าวว่าเตรียมจะขึ้นไลน์ประกอบโฉมใหม่ “นิสสัน เอ็กซ์-เทรล” (Nissan X-Trail) ในไทย เพื่อทำตลาดในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า เบื้องต้นได้มีการเผยโฉมเอ็กซ์-เทรลใหม่ในต่างประเทศแล้ว โดยมาพร้อมกับแพลทฟอร์มตัวถังใหม่ และรูปลักษณ์ได้รับพลิกโฉมรับอิทธิพลจากรุ่น Juke, Qashqai และ Murano มาชัดเจน เป็นการลดสันเหลี่ยมลง เพิ่มเส้นสายโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ตามแนวทางนิยมของรถครอสโอเวอร์ แต่ยังเห็นเส้นสายมัดกล้ามแสดงดุดันอยู่ และเทคโนโลยีควบคุมการขับขี่ทันสมัยครั้งแรกในโลก แต่รายละเอียดอื่นๆ ยังไม่เปิดเผยออกมา
ถึงอย่างนั้นก่อนเจอกับนิสสัน เอ็กซ์-เทรล ใหม่ จะมีรุ่นไฮไลต์ของตลาดคอมแพกต์เอสยูวีออกมาชิงยอดขายไปก่อนอย่าง “มาสด้า ซีเอ็กซ์-5” (Mazda CX-5) ที่มากับเทคโนโลยีใหม่สกายแอคทีฟ (Skyactiv) ทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ช่วงล่าง และตัวถัง จนทำให้เป็นรถที่มีสมรรถนะแรงแต่ประหยัด และปลอดภัยมากขึ้น จนสร้างกระแสตอบรับจากทั่วโลกมาแล้ว แม้แต่ในไทยก่อนกำหนดเปิดตัวเป็นทางการวันที่ 7 พ.ย.นี้ น่าจะมียอดจองเกิน 1,500 คันแน่นอน
โดยมาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ทำตลาดกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ-จี 2.0 ลิตร 155 แรงม้า และรุ่น 2.5 ลิตร ไดเร็กอินเจกชัน 188 แรงม้า แต่ที่เป็นไฮไลต์เครื่องยนต์ดีเซลสกายแอคทีฟ-ดี 2.2 ลิตร 175 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 420 นิวตัน-เมตร ที่สำคัญมีอัตราส่วนการอัดอากาศ 14:1 ส่งผลให้แรงแต่มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันประหยัดขึ้น 20% ทุกรุ่นไม่ว่าจะขับเคลื่อนล้อหน้า หรือแบบ 4 ล้อ แบบ Real Time AWD ต่างใช้ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ สกายแอคทีฟ-ไดร์ฟ เหมือนกันหมดทุกรุ่นย่อย ราคาเริ่มต้นประมาณกว่า 1.19 และไม่เกิน 1.7 ล้านบาทในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล
นับว่าคึกคักอย่างยิ่ง! สำหรับตลาดรถอเนกประสงค์ในไทยจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นแบบพีพีวี หรือเอสยูวี มีให้เลือกกันหลากหลายเลยทีเดียว ส่วนรักรุ่นไหน? ยี่ห้ออะไร? เชิญเลือกตามสบายได้เลย…