ออดี้จัดการกระตุ้นตลาดระดับหรูครั้งใหม่เพื่อรับมือกับผู้มาใหม่ที่มีความสดกว่าอย่างบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส ด้วยการจับเอา A8 มาแต่งหน้าทาปากในแบบไมเนอร์เชนจ์ เพื่อกระตุ้นตลาด โดยมากันครบทั้งรุ่นฐานล้อปกติ, รุ่นฐานล้อยาว และไฮบริด
สำหรับ A8 รุ่นนี้เปิดตัวทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2010 และถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ของซีดานระดับไฮเอนด์ของค่าย 4 ห่วงนับตั้งแต่ A8 รุ่นแรกเปิดตัวเมื่อปี 1994 โดยความเปลี่ยนแปลงของการปรับโฉม สามารถสัมผัสได้พอประมาณสำหรับใครที่มีภาพของรุ่นก่อนปรับโฉมอยู่ในหัว ซึ่งเมื่อมองจากทางด้านหน้าจะพบกับกันชนหน้าทรงใหม่ พร้อมกับไฟหน้า ซึ่งแม้ว่าจะเป็นมีรูปทรงเหมือนเดิม แต่รายละเอียดของชุดไฟที่อยู่ด้านในโคมได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยเฉพาะไฟหน้าแบบใหม่ที่ออดี้เรียกว่า Matrix LED ส่วนด้านท้ายมากับกันชนท้ายและไฟท้ายแบบใหม่ ซึ่งมีแถบโครเมียมขนาดเล็กคาดกลางยาวตั้งแต่ฝั่งซ้ายไปจนถึงไฟฝั่งขวา
ด้านมิติตัวถังของ A8 ใหม่ ในรุ่นธรรมดามีความยาว 5.14 เมตร กว้าง 1.95 เมตร สูง 1.46 เมตร และมีระยะฐานล้อ 2.99 เมตร ส่วนรุ่นฐานล้อยาว หรือ A8L จะมีความยาวเพิ่มขึ้นอีก 13 เซนติเมตรทั้งในส่วนของความยาว และระยะฐานล้อ โดยที่ออดี้ยังชูจุดเด่นในเรื่องของน้ำหนักตัวที่เบากว่ารถยนต์ระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นการใช้โครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียม หรือ ASF-Audi Space Frame และมีน้ำหนักรวมอยู่ในระดับเกิน 1.8 ตันมานิดๆ แต่ที่น่าสนใจคือ โครงสร้างตัวถังอะลูมิเนียมของ A8 มีน้ำหนักเพียง 231 กิโลกรัมเท่านั้นเอง
ทางเลือกของเครื่องยนต์ไม่แตกต่างจากรุ่นเดิม ซึ่งยุโรป A8 จะมากับเครื่องยนต์เบนซินและเทอร์โบดีเซลอย่างละ 2 รุ่น คือ วี6 3,000 ซีซี TFSI ซูเปอร์ชาร์จ 310 แรงม้า และวี8 4,000 ซีซี ทวินเทอร์โบ 435 แรงม้า ตามด้วย TDI วี6 3,000 ซีซี 285 แรงม้า และวี8 4,200 ซีซี 385 แรงม้า พร้อมแรงบิด 86.6 กก.-ม.
สำหรับใครที่เบื่ออะไรที่เป็นพื้นฐาน ออดี้จะมีรุ่นท็อปๆ เอาไว้ให้เลือกต่างหากอย่าง S8 วางเครื่องยนต์วี8 4,000 ซีซี เทอร์โบ TFSI ที่มีกำลัง 520 แรงม้า และใช้เวลา4.2 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าอยากสบายแต่ยังแรงก็ต้อง Top of the line อย่าง A8 W12 ซึ่งวางขุมพลัง W12 6,300 ซีซี 500 แรงม้า และสามารถลดการจุดระเบิดและจ่ายน้ำมันเหลือเพียง 6 สูบเมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ เพื่อความประหยัดน้ำมัน
ส่วนคอไฮบริดก็ยังมีให้สัมผัสกับขุมพลังลูกผสมที่เป็นการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 2,000 ซีซี เทอร์โบ TFSI กับมอเตอร์ไฟฟ้า มีกำลังสูงสุดรวมกัน 245 แรงม้า ส่วนแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน สามารถรับหน้าที่ Ev Mode ด้วยการขับแบบไฟฟ้าที่ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ไม่เกิน 3 กิโลเมตร ขณะที่ค่าความประหยัดเฉลี่ยอยู่ที่ 15.8 กิโลเมตร/ลิตร
A8 ไมเนอร์เชนจ์ พร้อมลุยตลาดแล้ว เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาความแปลกใหม่จาก 2 แบรนด์หลักอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 74,500 ยูโร หรือ 2.98 ล้านบาท