ข่าวในประเทศ – การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ขับเคลื่อนโครงการใช้รถยนต์ไฟฟ้า(EV) ในอนาคต ตามแผน 5 ปี ประกาศเปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าครบ 10 แห่งภายในปีนี้ แม้ลงทุนสูงสุดสถานีละ 1 ล้านบาท หลังจากนำร่องเปิดแห่งแรกไปแล้ว หวังผลักดันให้ประชาชนใช้รถไฟฟ้า เพื่อช่วยลดมลพิษ และประหยัดค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
รายงานข่าวจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เปิดเผยว่า การลงทุนเพื่ออนาคตนับเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมในอีกรูปแบบหนึ่ง ในฐานะกฟน.ดำเนินกิจการในกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยมีหน้าที่ให้บริการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า จัดสร้างและบำรุงระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชน ซึ่งการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อตอบสนองต่อนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม นับเป็นอีกความรับผิดชอบหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างการผลักดันให้มีสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV) Charging Station) เป็นแห่งแรกในประเทศ
“วันนี้กฟน. ได้ขับเคลื่อนโครงการวิจัยและศึกษา แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ตามแผนนำร่องโครงการ 5 ปี หรือพ.ศ. 2555-2559 เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว จึงได้จัดหารถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 20 คันมาทดลองใช้ พร้อมกับการติดตั้งสถานีชาร์จไฟแห่งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีแผนจะเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ให้ครบ 10 แห่ง ภายในสำนักงานเขตของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่ปัจจุบันมี 18 แห่ง ภายในสิ้นปี 2556”
พร้อมกันนี้ได้จัดทำโครงการวิจัย เพื่อเตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้าจำหน่าย เทคโนโลยี V2G เทคโนโลยี Smart Grid และโครงการวิจัยเพื่อจัดทำระบบเก็บเงินระหว่างเครื่องชาร์จไฟกับศูนย์กลาง โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กฟน.เพิ่งเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้า (EV Charging Station) แห่งแรก ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ชิดลม โดยในช่วงแรกที่มีการเปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้ นายอาทร สินสวัสดิ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวงได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป ที่มีรถใช้พลังงานไฟฟ้า เข้ามาชาร์จไฟฟ้าที่สถานีฟรี
การที่กฟน.ทำโครงการนี้ เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นในตลาดรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งในแง่การใช้พลังงานแล้ว รถใช้ไฟฟ้ามีอัตราสิ้นเปลือง 69 สตางค์ต่อกิโลเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับค่าน้ำมันตอนนี้อยู่ที่กิโลเมตรละ 3 บาท ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อสิ่งแวดล้อม เพราะราคารถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้ายังสูง ราคาคันละ 2-3 ล้านบาท สถานีควิกชาร์จแห่งหนึ่งใช้เงินลงทุน 6 แสน - 1 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะได้กลับมาคือการลดการปล่อยคาร์บอน 60 ตันต่อปี และเป็นการนำร่องให้เกิดโครงข่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคต เป็นทางเลือกสำหรับการจราจรในชุมชนเมือง
รถใช้พลังงานไฟฟ้าเหมาะสำหรับการใช้งานในรัศมี 100 กิโลเมตร และสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ลงทุน มีไว้เพื่อรถที่นำออกมาใช้นอกบ้าน ที่ต้องการชาร์จในเวลาสั้น ๆ แต่ถ้าให้ดีควรชาร์จไฟให้เต็มคันตั้งแต่ที่บ้าน เนื่องจากต้องใช้เวลาชาร์จจากศูนย์จนเต็ม นานถึง 20-30 นาที ในโครงการนี้นอกจากจะทำเพื่ออนาคตแล้ว ยังสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวโน้มของธุรกิจพลังงานทั่วโลกด้วยเช่นกัน
เพื่อสนับสนุนการโครงการดังกล่าว ล่าสุดกฟน.ร่วมจัดกิจกรรม ภายใต้แนวคิด "Leveraging for Tomorrow ต่อยอดสู่วิถีชีวิตอนาคต" ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต ซาลอน 2013 โดยนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมจำลองสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อประชาสัมพันธ์ ทิศทางการเติบโต และการบริหารจัดการของยนต์กรรมพลังงานไฟฟ้า Electric Vehicle Technology
ดังนั้นการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจ เข้ามาร่วมศึกษา และค้นหาความแปลกใหม่ของการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และค้นหาคุณค่าของการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมด้วยการช่วยกันรณรงค์ให้สังคม ร่วมกันใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น และตระหนักถึงความเข้าใจถึงคุณค่าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่สามารถตอบโจทย์การร่วมกันอนุรักษ์ทั้งด้านพลังงานเชื้อเพลิง สภาพอากาศ มลภาวะ ที่ล้วนช่วยให้โลกของเราสดใส และลดมลภาวะของโลกได้อย่างชัดเจน
รายงานข่าวจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เปิดเผยว่า การลงทุนเพื่ออนาคตนับเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมในอีกรูปแบบหนึ่ง ในฐานะกฟน.ดำเนินกิจการในกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยมีหน้าที่ให้บริการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า จัดสร้างและบำรุงระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้าแก่ประชาชน ซึ่งการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต เพื่อตอบสนองต่อนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม นับเป็นอีกความรับผิดชอบหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างการผลักดันให้มีสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle (EV) Charging Station) เป็นแห่งแรกในประเทศ
“วันนี้กฟน. ได้ขับเคลื่อนโครงการวิจัยและศึกษา แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ตามแผนนำร่องโครงการ 5 ปี หรือพ.ศ. 2555-2559 เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว จึงได้จัดหารถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 20 คันมาทดลองใช้ พร้อมกับการติดตั้งสถานีชาร์จไฟแห่งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และมีแผนจะเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ให้ครบ 10 แห่ง ภายในสำนักงานเขตของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ที่ปัจจุบันมี 18 แห่ง ภายในสิ้นปี 2556”
พร้อมกันนี้ได้จัดทำโครงการวิจัย เพื่อเตรียมความพร้อมของระบบไฟฟ้าจำหน่าย เทคโนโลยี V2G เทคโนโลยี Smart Grid และโครงการวิจัยเพื่อจัดทำระบบเก็บเงินระหว่างเครื่องชาร์จไฟกับศูนย์กลาง โดยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กฟน.เพิ่งเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้า (EV Charging Station) แห่งแรก ณ การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ชิดลม โดยในช่วงแรกที่มีการเปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้ นายอาทร สินสวัสดิ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวงได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป ที่มีรถใช้พลังงานไฟฟ้า เข้ามาชาร์จไฟฟ้าที่สถานีฟรี
การที่กฟน.ทำโครงการนี้ เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นในตลาดรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งในแง่การใช้พลังงานแล้ว รถใช้ไฟฟ้ามีอัตราสิ้นเปลือง 69 สตางค์ต่อกิโลเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับค่าน้ำมันตอนนี้อยู่ที่กิโลเมตรละ 3 บาท ถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อสิ่งแวดล้อม เพราะราคารถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้ายังสูง ราคาคันละ 2-3 ล้านบาท สถานีควิกชาร์จแห่งหนึ่งใช้เงินลงทุน 6 แสน - 1 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะได้กลับมาคือการลดการปล่อยคาร์บอน 60 ตันต่อปี และเป็นการนำร่องให้เกิดโครงข่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคต เป็นทางเลือกสำหรับการจราจรในชุมชนเมือง
รถใช้พลังงานไฟฟ้าเหมาะสำหรับการใช้งานในรัศมี 100 กิโลเมตร และสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ลงทุน มีไว้เพื่อรถที่นำออกมาใช้นอกบ้าน ที่ต้องการชาร์จในเวลาสั้น ๆ แต่ถ้าให้ดีควรชาร์จไฟให้เต็มคันตั้งแต่ที่บ้าน เนื่องจากต้องใช้เวลาชาร์จจากศูนย์จนเต็ม นานถึง 20-30 นาที ในโครงการนี้นอกจากจะทำเพื่ออนาคตแล้ว ยังสามารถพัฒนาเป็นธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวโน้มของธุรกิจพลังงานทั่วโลกด้วยเช่นกัน
เพื่อสนับสนุนการโครงการดังกล่าว ล่าสุดกฟน.ร่วมจัดกิจกรรม ภายใต้แนวคิด "Leveraging for Tomorrow ต่อยอดสู่วิถีชีวิตอนาคต" ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต ซาลอน 2013 โดยนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า พร้อมจำลองสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อประชาสัมพันธ์ ทิศทางการเติบโต และการบริหารจัดการของยนต์กรรมพลังงานไฟฟ้า Electric Vehicle Technology
ดังนั้นการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จึงขอเชิญชวนประชาชนและผู้สนใจ เข้ามาร่วมศึกษา และค้นหาความแปลกใหม่ของการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และค้นหาคุณค่าของการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมด้วยการช่วยกันรณรงค์ให้สังคม ร่วมกันใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น และตระหนักถึงความเข้าใจถึงคุณค่าของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่สามารถตอบโจทย์การร่วมกันอนุรักษ์ทั้งด้านพลังงานเชื้อเพลิง สภาพอากาศ มลภาวะ ที่ล้วนช่วยให้โลกของเราสดใส และลดมลภาวะของโลกได้อย่างชัดเจน
