ข่าวในประเทศ – เปิดตัวฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์น้องใหม่ “คาร์ดินอล” แต่เก๋าประสบการณ์ จากการขายส่งกว่า 25 ปี ประกาศสร้างแบรนด์ตนเอง และยกระดับคุณภาพฟิล์ม ชูจุดเด่นเทคโนโลยีอากาศยาน และกลยุทธ์แตกต่าง หวังเจาะตลาดพรีเมียม ผ่านช่องทางขายโชว์รูมรถเป็นหลัก มีให้เลือกราคากว่า 7,000 – 30,000 บาท ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 70 ล้านบาท
นายเธนไชย เอี่ยมธงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินนิแฟตโต้ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ “คาร์ดินอล” (Cadinal) จากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า แม้ฟิล์มคาร์ดินอลจะเป็นแบรนด์ที่เพิ่งทำตลาดอย่างจริงจังเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านฟิล์มกรองแสง หากแต่ได้ดำเนินการธุรกิจขายส่งฟิล์มกรองแสงมากว่า 25 ปี โดยมีโรงงาน ทีมงาน และคลังสินค้าที่ได้มาตรฐาน จึงมั่นใจได้ในเรื่องของสินค้าและบริการ
“จากการขายส่งฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ ตามความต้องการของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ทำให้มีคุณภาพของฟิล์มหลากหลาย เหตุนี้ทางทีมผู้บริหารจึงมีแนวคิด ที่จะทำตลาดฟิล์มคุณภาพควบคุมได้เป็นมาตรฐาน และมีความแปลกใหม่ ทั้งด้านคุณสมบัติและการทำตลาด ซึ่งจากการคัดเลือกฟิล์มคุณภาพทำให้ได้มาพบกับ Mr. Chris Vogues ผู้บริหาร Plastic View International Inc. สหรัฐอเมริกา ประทับใจกับคุณภาพและมาตรฐานของฟิล์ม ที่หอควบคุมการบินทั่วโลกเลือกใช้มากว่า 60 ปี และเป็นฟิล์มยอดนิยมใน 60 ประเทศทั่วโลก จนได้ตกลงเป็นตัวแทนจำหน่ายฟิล์มในประเทศไทย”
ทั้งนี้ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมฟิล์มกรองแสงติดรถ อยู่ที่ประมาณ 1,500 -2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดรถใหม่ 700 - 900 ล้านบาท และตลาดรถเก่า 800 – 1,000 ล้าน โดยภาพรวมตลาดมีการแข่งขันสูงมาก หลายรายที่แข่งกันด้วยราคาและโปรโมชั่นต่างๆ กับตัวแทนจำหน่าย ซึ่งการแข่งขันเหล่านั้นไม่เป็นผลดีต่อผู้ใช้รถ เพราะราคาที่ต่ำจะทำให้ไม่สามารถขายสินค้าคุณภาพสูงได้ โดยหลายยี่ห้อหาใช้ฟิล์มคุณภาพทั่วไปแทน ส่วนตัวแทนจำหน่ายก็ตัดราคากันเองเพื่อแย่งลูกค้า
นายเธนไชยเปิดเผยว่า เหตุนี้ทางบริษัทจึงมองเห็นถึงโอกาสในการพลิกโฉมตลาดใหม่ เพราะเชื่อว่าการสร้างตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งมีมาตรฐาน จะให้ประโยชน์กับผู้บริโภคในระยะยาวในส่วนของบริการ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากยังมีการแข่งขันที่หวังผลระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าตลาดฟิล์มกรองแสงคาดว่าในปีนี้จะมีการหดตัวลง มาจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ ยอดขายรถใหม่ที่ลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มรถที่ได้สิทธิภาษีรถคันแรก,กำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากภาระหนี้สินที่สูงทำให้ความต้องการของฟิล์มเกรดล่างราคาถูกมีมากขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงทำให้ราคาขายของแต่ละค่ายต้องปรับลดลงมากขึ้น
“การทำตลาดของฟิล์มคาร์ดินอล จะเน้นหลักการสร้างคุณค่าให้กับตัวแทนจำหน่ายและผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยไม่ใช้ราคาแต่ใช้คุณภาพสินค้าที่แปลกใหม่ กับบริการพิเศษเป็นหลักเกณฑ์ในการทำตลาด มุ่งการทำตลาดที่แตกต่างโดยมีเป้าหมายทำให้ฟิล์มคาร์ดินอลเป็นฟิล์มเกรดพรีเมียม ราคาตั้งแต่กว่า 7,000 – 30,000 บาท ซึ่งช่องทางจำหน่ายจะเน้นผ่านโชว์รูมรถยนต์เป็นหลัก โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของฟิล์มคาร์ดินอล จะเป็นกลุ่ม Smart Targeting ผู้ชายอายุ 25 – 35 ปี ที่เปิดรับของคุณภาพใหม่ๆ พร้อมให้ความสำคัญกับคุณค่ามากกว่าราคา โดยทางบริษัทได้วางเป้าส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ 10% ในปี 2013 นี้ ซึ่งใน 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ ทางบริษัทมียอดรายได้รวมประมาณ 25 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถกวาดรายได้ทั้งปีกว่า 70 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน ” นายเธนไชยกล่าวและว่า
สำหรับแผนในปีนี้ในส่วนของตัวแทนจำหน่าย จะเน้นการสื่อสารและประสานงานที่สะดวกรวดเร็ว เน้นสินค้าที่มีคุณภาพที่ติดตั้งง่ายและมีมาตรฐาน อบรมและพัฒนาสถานที่และอุปกรณ์ติดตั้งให้ได้มาตรฐานเพื่อลดการสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น ทางด้านของผู้บริโภคจะเน้นการทำตลาดที่เพิ่มมูลค่าเช่น ใช้ฟิล์มที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานกันร้อนสูง ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนฟิล์มบ่อยและเสริมบริการหลังการขายในส่วนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านพันธมิตรที่ร่วมรายการ
ทั้งนี้ทางบริษัทได้ทุ่มงบไปกว่า 25 ล้านบาท เพื่อใช้ในการส่งเสริมการตลาด โดยทำตลาดผ่านช่องทางหลักคือการส่งเสริมการตลาด ณ จุดขายร่วมกับตัวแทนจำหน่าย, การจัดกิจกรรม Below the line ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการร่วมออกบูธแสดงสินค้า อย่างล่าสุดได้ร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโตซาลอน 2013 ที่เมืองทองธานี และทางโชเชียลเน็ตเวิร์ก พร้อมทั้งเว็บไซต์ของบริษัท โดยในปีนี้ทางบริษัทมีแผนที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์สินค้า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากที่สุด
นายเธนไชย เอี่ยมธงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินนิแฟตโต้ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ “คาร์ดินอล” (Cadinal) จากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า แม้ฟิล์มคาร์ดินอลจะเป็นแบรนด์ที่เพิ่งทำตลาดอย่างจริงจังเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านฟิล์มกรองแสง หากแต่ได้ดำเนินการธุรกิจขายส่งฟิล์มกรองแสงมากว่า 25 ปี โดยมีโรงงาน ทีมงาน และคลังสินค้าที่ได้มาตรฐาน จึงมั่นใจได้ในเรื่องของสินค้าและบริการ
“จากการขายส่งฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ ตามความต้องการของผู้จำหน่ายทั่วประเทศ ทำให้มีคุณภาพของฟิล์มหลากหลาย เหตุนี้ทางทีมผู้บริหารจึงมีแนวคิด ที่จะทำตลาดฟิล์มคุณภาพควบคุมได้เป็นมาตรฐาน และมีความแปลกใหม่ ทั้งด้านคุณสมบัติและการทำตลาด ซึ่งจากการคัดเลือกฟิล์มคุณภาพทำให้ได้มาพบกับ Mr. Chris Vogues ผู้บริหาร Plastic View International Inc. สหรัฐอเมริกา ประทับใจกับคุณภาพและมาตรฐานของฟิล์ม ที่หอควบคุมการบินทั่วโลกเลือกใช้มากว่า 60 ปี และเป็นฟิล์มยอดนิยมใน 60 ประเทศทั่วโลก จนได้ตกลงเป็นตัวแทนจำหน่ายฟิล์มในประเทศไทย”
ทั้งนี้ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมฟิล์มกรองแสงติดรถ อยู่ที่ประมาณ 1,500 -2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดรถใหม่ 700 - 900 ล้านบาท และตลาดรถเก่า 800 – 1,000 ล้าน โดยภาพรวมตลาดมีการแข่งขันสูงมาก หลายรายที่แข่งกันด้วยราคาและโปรโมชั่นต่างๆ กับตัวแทนจำหน่าย ซึ่งการแข่งขันเหล่านั้นไม่เป็นผลดีต่อผู้ใช้รถ เพราะราคาที่ต่ำจะทำให้ไม่สามารถขายสินค้าคุณภาพสูงได้ โดยหลายยี่ห้อหาใช้ฟิล์มคุณภาพทั่วไปแทน ส่วนตัวแทนจำหน่ายก็ตัดราคากันเองเพื่อแย่งลูกค้า
นายเธนไชยเปิดเผยว่า เหตุนี้ทางบริษัทจึงมองเห็นถึงโอกาสในการพลิกโฉมตลาดใหม่ เพราะเชื่อว่าการสร้างตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่งมีมาตรฐาน จะให้ประโยชน์กับผู้บริโภคในระยะยาวในส่วนของบริการ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากยังมีการแข่งขันที่หวังผลระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้คาดว่าตลาดฟิล์มกรองแสงคาดว่าในปีนี้จะมีการหดตัวลง มาจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ ยอดขายรถใหม่ที่ลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มรถที่ได้สิทธิภาษีรถคันแรก,กำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากภาระหนี้สินที่สูงทำให้ความต้องการของฟิล์มเกรดล่างราคาถูกมีมากขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงทำให้ราคาขายของแต่ละค่ายต้องปรับลดลงมากขึ้น
“การทำตลาดของฟิล์มคาร์ดินอล จะเน้นหลักการสร้างคุณค่าให้กับตัวแทนจำหน่ายและผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยไม่ใช้ราคาแต่ใช้คุณภาพสินค้าที่แปลกใหม่ กับบริการพิเศษเป็นหลักเกณฑ์ในการทำตลาด มุ่งการทำตลาดที่แตกต่างโดยมีเป้าหมายทำให้ฟิล์มคาร์ดินอลเป็นฟิล์มเกรดพรีเมียม ราคาตั้งแต่กว่า 7,000 – 30,000 บาท ซึ่งช่องทางจำหน่ายจะเน้นผ่านโชว์รูมรถยนต์เป็นหลัก โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของฟิล์มคาร์ดินอล จะเป็นกลุ่ม Smart Targeting ผู้ชายอายุ 25 – 35 ปี ที่เปิดรับของคุณภาพใหม่ๆ พร้อมให้ความสำคัญกับคุณค่ามากกว่าราคา โดยทางบริษัทได้วางเป้าส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ 10% ในปี 2013 นี้ ซึ่งใน 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ ทางบริษัทมียอดรายได้รวมประมาณ 25 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถกวาดรายได้ทั้งปีกว่า 70 ล้านบาท ได้อย่างแน่นอน ” นายเธนไชยกล่าวและว่า
สำหรับแผนในปีนี้ในส่วนของตัวแทนจำหน่าย จะเน้นการสื่อสารและประสานงานที่สะดวกรวดเร็ว เน้นสินค้าที่มีคุณภาพที่ติดตั้งง่ายและมีมาตรฐาน อบรมและพัฒนาสถานที่และอุปกรณ์ติดตั้งให้ได้มาตรฐานเพื่อลดการสิ้นเปลืองที่ไม่จำเป็น ทางด้านของผู้บริโภคจะเน้นการทำตลาดที่เพิ่มมูลค่าเช่น ใช้ฟิล์มที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานกันร้อนสูง ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนฟิล์มบ่อยและเสริมบริการหลังการขายในส่วนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านพันธมิตรที่ร่วมรายการ
ทั้งนี้ทางบริษัทได้ทุ่มงบไปกว่า 25 ล้านบาท เพื่อใช้ในการส่งเสริมการตลาด โดยทำตลาดผ่านช่องทางหลักคือการส่งเสริมการตลาด ณ จุดขายร่วมกับตัวแทนจำหน่าย, การจัดกิจกรรม Below the line ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงการร่วมออกบูธแสดงสินค้า อย่างล่าสุดได้ร่วมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ออโตซาลอน 2013 ที่เมืองทองธานี และทางโชเชียลเน็ตเวิร์ก พร้อมทั้งเว็บไซต์ของบริษัท โดยในปีนี้ทางบริษัทมีแผนที่จะเข้าร่วมงานแสดงสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์สินค้า และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากที่สุด