xs
xsm
sm
md
lg

“อีซูซุ มิมาโมริ”รถฉลาด คนกำไร...สบายใจทุกชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สำหรับงานโลจิสติกส์-กิจการขนส่ง คงไม่ต้องพูดถึงผลกำไรถ้าหากบริษัทนั้นๆยังไม่สามารถบริหารจัดการต้นทุนของตนเอง หรือยิ่งซ้ำหนักถ้าหากบรรดาพนักงานขาดความกระตือรือร้น และไม่คิดรักษาผลประโยชน์ขององค์กร

ดังนั้นการวางระบบที่ดี มีการบริหารจัดการ(คน)อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างจิตสำนึกให้พนักงานพร้อมมอบรางวัลตอบแทนอย่างสมเหตุสมผล บนการวัดผลที่เป็นธรรม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้า

อีซูซุ “มิมาโมริ” (Mimamori) เป็นโซลูชันที่เกิดมาช่วยผู้ประกอบการขนส่งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างผลกำไร ด้วยการออกแบบระบบและฟังก์ชันต่างๆ ให้สามารถวิเคราะห์ ทำรายงาน(เป็นรายชิปเมนต์) และแนะนำพนักงานขับรถบรรทุกให้พัฒนาทักษะการขับอย่างปลอดภัย พร้อมเปลี่ยนพฤติกรรมให้ขับขี่รถได้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

สำหรับระบบ“มิมาโมริ” เริ่มใช้ในญี่ปุ่นมาเกือบ 10 ปีแล้ว ปัจจุบันมีรถบรรทุกที่ใช้ระบบนี้มากกว่า 50,000 คัน ขณะที่ประเทศไทย อีซูซุเริ่มนำมาติดตั้งขายในรถบรรทุกช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เดินหน้าลุยระบบนี้อย่างจริงจังครับ ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็เชิญบรรดาผู้สื่อข่าวไปทดสอบรถบรรทุกอีซูซุที่ติดตั้งระบบ“มิมาโมริ” ณ สนามทดสอบรถไทยบริดจสโตน วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งทีมงานเตรียมรถบรรทุกไว้หลายรุ่น ไล่ตั้งแต่หัวลาก GXZ เครื่องยนต์ขนาด9,839 ซีซี 360 แรงม้า และรถบรรทุก 6 ล้อใหญ่ FTR เครื่องยนต์ 7,790 ซีซี 240 แรงม้า รวมถึงรถบรรทุก 6 ล้อ ขนาดกลาง FRR เครื่องยนต์ 5,193 ซีซี 210 แรงม้า

โดยจุดเด่นของ“มิมาโมริ” แบ่งออกเป็น4 ประการ คือ 1.ประหยัดน้ำมัน(FUEL ECO) ระบบจะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ พร้อมรายงานพฤติกรรมการขับและคำแนะนำได้อย่างละเอียด เข้าใจง่าย เพื่อการปรับปรุงและเพิ่มพูนทักษะของพนักงานขับรถให้ขับได้อย่างประหยัดน้ำมัน ซึ่งระบบสามารถวัดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันได้อย่างแม่นยำ โดยดึงข้อมูลจากหัวฉีดโดยตรง และแสดงผลการขับขี่บนหน้าจอแบบเรียลไทม์ พร้อมเสียงเตือนเมื่อมีพฤติกรรมการขับไม่ประหยัด แสดงผลการวิเคราะห์และให้คะแนนพฤติกรรมการขับขี่ในรูปแบบกราฟใยแมงมุมเพื่อง่ายต่อการเข้าใจและประเมินผล

2.เพิ่มความปลอดภัย (SAFETY) ด้วยการสื่อสารกับผู้ขับขี่ด้วยเสียงเตือนและข้อความ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ จึงทำให้ปลอดภัยทั้งตัวรถและสินค้า พร้อมการวิเคราะห์ให้คะแนนพฤติกรรมการขับประหยัดปลอดภัยในแต่ละหัวข้อ นอกจากนี้ยังช่วยแจ้งเตือนให้หยุดพัก เมื่อพนักงานขับรถเป็นระยะเวลายาวนานจนอ่อนล้า

3.เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง (EFFICIENCY) บริษัทสามารถดาวน์โหลดข้อมูลบันทึกรายงานการขับขี่ประจำวันของพนักงานขับรถแต่ละคนได้จากอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา นอกจากนั้นผู้บริหารการขนส่งยังสามารถสื่อสารข้อความไปยังพนักงานขับรถทุกคันได้ตลอดเวลาเช่นกัน รวมทั้งช่วยเรื่องระบบการบำรุงรักษา ด้วยการกำหนดระยะรอบการบำรุงรักษาของรถไว้ล่วงหน้า และระบบจะแจ้งเตือนการบำรุงรักษาของรถแต่ละคันก่อนถึงกำหนด

4.เพิ่มความสบายใจ (SECURITY) ด้วยระบบติดตามตำแหน่งรถแบบ Real Time มายังศูนย์ควบคุมตลอดเวลา เพื่อใช้ในการตรวจสอบตำแหน่งและสถานะของรถ รวมถึงยังสามารถทราบถึงเหตุการณ์ที่ผิดปกติได้แบบ Real Time โดยส่งอีเมล์ผ่านมือถือของผู้บริหารการขนส่งทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อทำการตรวจสอบหรือช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

ในส่วนของการทดสอบผู้เขียนได้ลองรุ่นFTR เครื่องยนต์ 7,790 ซีซี 240 แรงม้า 6 เกียร์ กับระยะทางเพียง 2.2 กิโลเมตร ใช้เวลา 4.5 นาที พบว่าเมื่อนั่งอยู่หลังพวงมาลัย รถบรรทุก 6 ล้อคันนี้ควบคุมไม่ยากอย่างที่คิด

การขับใช้ความเร็วหลายระดับ แต่ไม่เกิน80 กม./ชม. ทั้งทางตรง โค้งยาว ซึ่งการขับในโค้งผู้ฝึกสอนย้ำว่าห้ามเปลี่ยนเกียร์เด็ดขาด อันถือเป็นพื้นฐานของความปลอดภัย ด้านพวงมาลัยวงใหญ่วางแนวนอนต่างจากรถยนต์ทั่วไป สาวกันมันมือ แต่ต้องกะระยะวงเลี้ยวกันให้แม่น

ด้านการเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล สอดคล้องกับจังหวะกดของแป้นคลัทช์ ส่วนแป้นเบรกสัมผัสค่อนข้างนุ่ม มีบางช่วงที่ผู้เขียนใช้แรงกดมากไปนิด รถก็ออกแนวหัวทิ่มหัวตำเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามจากการขับเพียงสั้นๆเท่านี้ เจ้าระบบมิมาโมริสามารถบันทึกพฤติกรรมการขับขี่เอาไว้หมดแล้วละครับ โดยแบ่งการวัดเป็นหลายหัวข้อ ทั้ง ความเร็วรถในการขับช่วงความเร็วปกติ,รอบเครื่องยนต์ขณะเปลี่ยนเกียร์,การเลือกใช้เกียร์อย่างเหมาะสม,การควบคุมคันเร่ง,การควบคุมการเหยียบเบรก,การใช้เอ็นจิ้นเบรก,การใช้เบรกช่วย (รวมแล้ว 7 หัวข้อ แต่ถ้าใช้งานจริงจะมี 9 หัวข้อ โดยเพิ่มการขับช่วงรอบเดินเบา และความเร็วรถในการขับความเร็วสูง)

สุดท้ายเมื่อวัดผลออกมาเป็นคะแนนตามหัวข้อที่กล่าวมา หรือจะยกตัวอย่างหัวข้อที่ผู้เขียนทำได้คะแนนน้อยหรือ จาก 1 เต็ม 5 คือ การใช้เบรกช่วย โดยมิมาโมริวิเคราะห์ว่า “ท่านมีการใช้เบรกมากเกินไป ดังนั้นควรจะเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่านี้”(ระบบหมายถึงการขับบนท้องถนนจริง)


นอกจากนี้ยังมีหัวข้อ รอบเครื่องยนต์ขณะเปลี่ยนเกียร์ที่ผู้เขียนทำได้ 3 จาก 5 คะแนน ระบบมิมาโมริวิเคราะห์ว่า “รอบเครื่องยนต์โดยเฉลี่ยขณะเปลี่ยนเกียร์ของท่านคือ 2,050 รอบต่อนาที ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ควรจะใช้รอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมคือ 1,595 รอบต่อนาที ดังนั้นท่านต้องพยายามเปลี่ยนเกียร์ให้เร็วกว่านี้ แล้วท่านจะเห็นผลการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น”

ตลอดจนหัวข้อการเลือกใช้เกียร์อย่างเหมาะสม ที่ได้ 2 จาก 5 คะแนน มิมาโมริบอกว่า “มีการใช้เกียร์ 6 น้อยเกินไป หรือคิดเป็นประมาณ 0% (ผู้เขียนไม่ได้ใช้เกียร์ 6 เลย) ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อการประหยัดเชื้อเพลิง กรุณาใช้เกียร์ 6 ให้มากและบ่อยขึ้น”

...นั่นเป็นบางส่วนของคำแนะนำที่ยกมาให้เห็นภาพ ขณะที่อัตราบริโภคน้ำมันยังวัดผลออกมาได้ 4.6 กม./ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป 1,291 กรัม ไนโตรเจนออกไซด์ 3,277 มิลลิกรัม และปริมาณฝุ่นละออง 22 มิลลิกรัม


ทั้งนี้การวัดผลจะมีกล่องอัจฉริยะดึงข้อมูลโดยตรงจากหัวฉีด คันเร่ง แป้นเบรก เกียร์ แล้วส่งไปประมวลผลที่เซิร์ฟเวอร์กลาง ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งสามารถรับทราบและดูข้อมูลได้จากเว็บไซต์บนหน้อจอคอมพิวเตอร์ของตนเองได้เลย

โดยผู้สนใจระบบมิมาโมริตอนนี้ยังไม่มีแยกขาย (หรือซื้อไปติดตั้งเพิ่มเติมในรถรุ่นเก่า) แต่จะติดตั้งมาในรถบรรทุกอีซูซุรุ่นใหม่ที่คุณต้องการ พร้อมเพิ่มเงินประมาณ 60,000 บาทต่อคัน

“มิมาโมริ”ภาษาญี่ปุ่นแปลว่าการสอดส่องป้องกัน แน่นอนว่าการนำมาใช้ในช่วงแรก แต่ละบริษัทคงต้องใช้เวลาปรับตัว หรืออาจจะถูกต่อต้านจากพนักงานขับรถ ด้วยรู้สึกรำคาญ จุกจิก แต่เชื่อว่าเมื่อระบบอัจฉริยะดังกล่าวให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เข้าใจง่ายและเป็นธรรม สุดท้ายประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น สามารถลดต้นทุนลงได้อย่างน่าพอใจ บริษัทคงต้องนำเงินส่วนหนึ่งกลับมาเป็นผลตอบแทนพิเศษ (Intensive) ให้พนักงานเพื่อเป็นกำลังใจแน่นอน

....ดีกับทุกฝ่ายขนาดนี้ใครจะไม่ชอบ“อีซูซุ มิมาโมริ” ก็ให้มันรู้ไป!
กำลังโหลดความคิดเห็น