xs
xsm
sm
md
lg

เลกซัส-เบนซ์เขย่าตลาดรถหรูส่งรุ่นใหม่ชิงยอดโค้งสุดท้ายปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เข้าสู่โค้งสุดท้ายของแต่ละปี ไม่เพียงผู้บริโภคจะลุ้นแคมเปญพิเศษจากค่ายรถ และงานแสดงรถยนต์ปิดท้ายปี “มอเตอร์เอ็กซ์โป” เท่านั้น ยังมีไฮไลต์การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่ได้รับการเฝ้าจับตามอง ตั้งแต่รถราคาไม่กี่แสนไปจนถึงหลักหลายล้านบาท และปีนี้ก็เช่นกันเริ่มมีการขยับตัวจากค่ายรถแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์เวอร์ชั่นซีดาน หรือรุ่น 4 ประตูของฮอนด้า และโดยเฉพาะสองค่ายรถหรู “เลกซัส” และ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ที่เปิดฉากส่งรถใหม่สู่ตลาดในเวลาไล่เลี่ยกันสู่ตลาด…

เริ่มจากค่าย “เลกซัส” แบรนด์หรูจากญี่ปุ่นในเครือของโตโยต้า ล่าสุดได้เปิดตัวโฉมใหม่ “เลกซัส แอลเอส” (Lexus LS) โดยมีให้เลือกหลากหลายตามความชอบ ตั้งแต่รุ่นปกติ ตัวถังยาว และสปอร์ต ไปจนถึงรุ่นไฮบริดสู่ตลาดไทย ซึ่งแอลเอสเป็นรุ่นท็อปคลาสของเลกซัส ที่ถูกสร้างสรรค์และพัฒนาภายใต้ปรัชญาการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ หรือ The Pursuit of Perfection จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตลอด 4 เจเนอเรชั่น ด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 730,000 คัน

สำหรับเลกซัส แอลเอส ใหม่ ได้มีการปรับปรุงในรายละเอียดมากกว่า 3,000 จุด นับตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นกับกระจังหน้าแบบใหม่ “Spindle Grille” ที่เป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่บ่งบอกความเป็นรถยนต์เลกซัส รวมถึงไฟรูปทรงตัวแอล (Daytime Running Lights) สะท้อนให้เห็นรูปแบบที่นำสมัย และยังได้นำหลอดไฟ LED มาใช้ในทุกจุด

การออกแบบภายภายใต้แนวคิด Human-Centered Engineering ที่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานของมนุษย์ได้มากที่สุด โดยออกแบบให้ห้องโดยสารเงียบและสบายสุดๆ แล้ว ยังเป็นครั้งแรกกับ Lexus Climate Concierge ระบบปรับอุณหภูมิที่ใช้เซ็นเซอร์กว่า 13 ตัว เพื่อวัดสภาพอากาศภายในห้องโดยสาร และกระจายความเย็น หรือความร้อนอย่างสม่ำเสมอทั่วห้องโดยสาร และยังทำงานผสานกับนาโน-อี(Nano-e) เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ปล่อยประจุลบของน้ำออกมา เพื่อดักจับและทำลายเชื้อไวรัส รวมถึงเชื้อแบคทีเรียภายในห้องโดยสาร ช่วยขจัดกลิ่นอับชื้นและเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ ทำให้อากาศภายในห้องโดยสารสะอาดสดชื่นตลอดการเดินทาง
ไม่เพียงเท่านั้นยังสะท้อนความหรูหรา ด้วย Welcome Light LED บริเวณคอนโซลหน้า ซึ่งจะเรืองแสงต้อนรับเมื่อเข้าใกล้ตัวรถ พร้อมแผงหน้าปัดที่ง่ายต่อการควบคุม และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ด้วยการแบ่งโซนอย่างเด่นชัด ทั้งโซนแสดงผล (Display Zone) ประกอบไปด้วย LCD Multi-display ขนาดใหญ่ที่สุด 12.3 นิ้ว และโซนควบคุม (Operation Zone) ที่สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในรถยนต์ ได้ง่ายและสะดวกเพียงปลายนิ้วสัมผัส เสมือนคลิกเมาส์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ด้วย Remote Touch Interface (RTI) เจเนอเรชั่นที่ 2 และได้ติดตั้งเครื่องเสียงรอบทิศทางจาก Mark Levinson และระบบ Rear Seat Entertainment System พร้อม Blu-ray player ให้ความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง

แน่นอนระบบปลอดภัยจัดเต็มเช่นกัน ไม่เพียงอุปกรณ์ที่มาให้ครบเฉกเช่นรถหรูระดับท็อปคลาสทั่วไปแล้ว ยังมีระบบ Pre-Crash Safety ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจสอบความเป็นไปได้ที่จะเกิดการชน หากตรวจพบว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่บนถนนเบื้องหน้า ระบบจะส่งสัญญาณเตือนผ่านหน้าจอแสดงผลทันที ทำให้เข็มขัดนิรภัยแบบดึงรั้งกลับอัตโนมัติ (Pre-Crash Seatbelt) จะทำการดึงรั้งผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้าอัตโนมัติ ช่วยให้คนขับและผู้โดยสารแนบชิดกับเบาะและพนักพิง เพื่อป้องกันการกระแทกอย่างรุนแรงจากพวงมาลัยหรือถุงลมเสริมความปลอดภัยหรือคอนโซลหน้า

อย่างที่บอกเลกซัส แอลเอส ใหม่ มีทางเลือกครอบคลุมทุกความต้องการ ตั้งแต่เริดหรูในแบบไฮบริด กับรุ่น LS600hL วางเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง ให้กำลังรวมสูงสุด 445 แรงม้า ส่งผ่านระบบขับเคลื่อนแบบ Full-time AWD ให้ความมั่นใจในทุกสภาพการขับขี่ ในราคา 13.58 ล้านบาท

ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ปกติมีทั้งแบบตัวถังมาตรฐานรุ่น LS460 ราคา 9.85 ล้านบาท และท็อป LS460L ที่มีทั้งแบบ 5 และ 4 ที่นั่งให้เลือก ด้วยราคา 11.68 และ 11.78 ล้านบาทตามลำดับ โดยวางเครื่องบล็อก V8 ขนาด 4.6 ลิตร พร้อมระบบปรับวาล์วแปรผัน Dual VVT-iE ให้กำลัง 380 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด รวมถึงโหมดการขับขี่ที่สามารถเลือกได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ ECO, COMFORT, NORMAL, SPORTS และ SPORT S+

นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรก สำหรับเลกซัส แอลเอส กับเวอร์ชัน F SPORT ที่นำเสนอภาพลักษณ์ของยานยนต์หรู ในอารมณ์การขับขี่แบบบสปอร์ต ผสมผสานรูปแบบภายนอกที่ดุดัน และภายในโฉบเฉี่ยวเร้าใจ พร้อมปรับความสูงของระบบช่วงล่างลง 10 มม. ดิสก์เบรคคู่หน้า Brembo แบบ 6 พอร์ต และแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย (Paddle Shift) พร้อมเสริมประสิทธิภาพด้วยเฟืองท้ายหลังแบบ Torsen Limited Slip โดยเปิดราคามาแบบเร้าใจ 9.99 ล้านบาท
“CLS Shooting Brake”
ขณะที่เจ้าตลาด “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ได้มีการรุกตลาดรถหรูเช่นกัน โดยไม่เพียงเตรียมจะหวนกลับมารุกเก๋งหรูเล็ก ในรุ่น “เอ-คลาส” (A-Class) เท่านั้น ยังได้เสริมทัพให้กับสปอร์ตคูเป้ 4 ประตู “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส” (Mercedes-Benz CLS) ซึ่งปัจจุบันทำตลาดเพียงรุ่น CLS350 BluEFFICIENCY ขนาด 3.5 ลิตร 306 แรงม้า ราคากว่า 8 ล้านบาท ขณะที่เกรย์มาร์เก็ตยังมีรุ่นเล็ก CLS250 CDI เครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตร 204 แรงม้า ในระดับราคาเพียงกว่า 5 ล้านบาท มาเป็นตัวชิงยอดขายอีกด้วย

เหตุนี้เมอร์เซเดสในประเทศไทย จึงเตรียมนำ CLS250 CDI มาทุบเกรย์มาร์เก็ต โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มทางเลือกกับเวอร์ชันสปอร์ต 5 ที่นั่ง หรือเรียกรุ่น “CLS Shooting Brake” มาเป็นอีกไฮไลต์ของซีแอลเอส-คลาส โดยเป็นรถสปอร์ต 5 ที่นั่ง ซึ่งมาพร้อมประตูท้ายเวอร์ชันแรกในประวัติศาสตร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยรูปลักษณ์ครึ่งหน้าคล้ายกับซีแอลเอสรุ่นสแตนดาร์ด แต่ด้านท้ายหลังคาโค้งลาดเอียงรับกับประตูท้ายตัดด้านหลัง ที่มีสปอยเลอร์ขนาดเล็กรับ และภายในประตูท้ายมีพื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุด 1,550 ลิตร

ขุมพลังของ CLS Shooting Brake มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล CLS250 CDI BluEFFICIENCY และ CLS350 CDI BluEFFICIENCY รวมถึงเครื่องยนต์เบนซิน CLS350 BluEFFICIENCY และ CLS500 BluEFFICIENCY ซึ่งในไทย CLS Shooting Brake น่าจะทำตลาดเช่นเดียวกับรุ่นสแตนดาร์ด

นี่คือการเขย่าตลาดรถหรูของสองค่ายรถหรูจากสองฝั่งทวีป “เลกซัส” และ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ที่ถูกส่งออกมาชิงยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และเชื่อว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด คงจะไม่ยอมอยู่นิ่งและออกมาแลกหมัดแน่นอน โปรดติดตามกันต่อไป…

CLS  CLASS
กำลังโหลดความคิดเห็น