หลังปล่อยให้แบรนด์เยอรมนีทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู, ออดี้ และปอร์เช่กินรวบตลาดโรดสเตอร์ระดับหรูไซส์เล็กมานานร่วม 10 ปี ถึงตอนนี้มีคู่แข่งหน้าใหม่เตรียมกระโดดเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งในตลาดแล้ว เมื่อจากัวร์ประกาศผลิตโรสเตอร์แบบ 2 ที่นั่งในชื่อ F-Type ออกมาทำตลาดในปีหน้า
จากัวร์เผยรายละเอียดของแผนงานลุยตลาดประเภทนี้มาตั้งแต่ปี 2011 ผ่านทางต้นแบบรุ่น C-X16 ที่จัดแสดงในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ จากนั้นโปรเจ็กต์นี้ถูกผลักดันให้พัฒนาภายใต้แผนงานที่เรียกว่า X152 เพื่อให้ขึ้นสู่การผลิตจริงจนเป็นที่มาของโรดสเตอร์รุ่น F-Type
สำหรับ F-Type ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังเดียวกับ XK ที่เป็นสปอร์ตรุ่นใหญ่กว่า แต่มีการหั่นให้มีขนาดสั้นลง ด้วยระยะฐานล้อเพียง 2,622 มิลลิเมตร ความยาวตัวถังในระดับ 4,470 มิลลิเมตร ส่วนหลังคาเป็นแบบหลังคาอ่อนพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า
เหตุผลที่ไม่เลือกใช้หลังคาแข็งพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้าเหมือนกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ SLK และบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ก็เพราะว่าจากัวร์วางแผนการเปิดตัวรุ่นคูเป้ตามออกมาในปลายปี 2013 โดยชุดหลังคาอ่อนนี้สามารถกางออกหรือพับเก็บโดยใช้เวลาเพียง 12 วินาที และสามารถกดปุ่มเพื่อให้ทำงานในขณะที่รถกลำลังแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 30 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 48 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้วัสดุที่เรียกว่า Thinsulate lining ในการผลิต ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการเก็บเสียง และลดความร้อนที่จะถูกส่งผ่านจากแสงแดดเข้าสู่ห้องโดยสาร
งานออกแบบรูปลักษณ์เป็นฝีมือของเอียน คัลลัมเช่นเคย ส่วนตัวถังแม้ว่าจะมีการนำอะลูมิเนียมมาใช้ในการผลิตโครงสร้างหลัก และชิ้นส่วนต่างๆ แต่ทว่าน้ำหนักของตัวรถก็ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไซส์ของรถ โดยอยู่ที่ 1,597 กิโลกรัม
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทำให้ F-Type ดูดุดันจากคู่แข่งในตลาดทั้งออดี้ TT, ปอร์เช่ บ็อกสเตอร์, บีเอ็มดับเบิลยู Z4 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ SLK คือ เครื่องยนต์ที่ทำตลาด ซึ่งทุกรุ่นจะใช้ระบบซูเปอร์ชาร์จรีดกำลังออกมา โดยจะมี 2 แบบเครื่องยนต์แต่ 3 ทางเลือกของแรงม้า เริ่มกับบล็อกวี6 3,000 ซีซี ที่มีให้เลือก 2 ระดับการขับเคลื่อน คือ 340 และ 380 แรงม้า ส่วนรุ่นท็อปเป็นเครื่องยนต์วี8 5,000 ซีซี 495 แรงม้า ซึ่งยกมาจากสปอร์ตรุ่น XK และซีดานรุ่น XF
ด้านสมรรถนะของการขับเคลื่อนอยู่ในระดับ 5.1, 4.8 และ 4.2 วินาทีในแง่ของอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงโดยไล่เรียงลำดับจากรุ่น 340 / 380 และ 495 แรงม้าตามลำดับ ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 260 / 275 และ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีการติดตั้งระบบ Intelligent Stop/Start ซึ่งจะดับเครื่องยนต์ก่อนที่รถจะหยุดสนิท เพื่อช่วยความประหยัดน้ำมัน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เปิดตัวงาน “ปารีส มอเตอร์โชว์ 2012” แล้วก็จริง แต่ยังไม่เริ่มการส่งมอบรถให้กับลูกค้า ซึ่งจะต้องรอกันสักระยะ โดยล็อตแรกน่าจะปล่อยออกจากโชว์รูมได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2013 ส่วนราคาในอังกฤษอยู่ระหว่าง 58,500-79,950 ปอนด์ หรือ 2.92-3.99 ล้านบาท