xs
xsm
sm
md
lg

Volkswagen Golf เผยโฉมใหม่สานต่อประวัติศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถือว่าเร็วเหมือนกันสำหรับการเปลี่ยนโฉมของ “กอล์ฟ” เก๋งคอมแพกต์คาร์รุ่นประวัติศาสตร์จากค่ายโฟล์คสวาเกน เพราะรุ่นปัจจุบันที่ขายอยู่ในตลาดเพิ่งจะเปิดตัวไม่นานในปี 2008 ถึงตอนนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เพราะแบรนด์ดังของเยอรมนีเปิดตัวทายาทในรหัส "Mk VII" ออกมาแล้ว ประเดิมตลาดด้วยตัวถังแฮทช์แบ็กตามระเบียบ

กอล์ฟ ใหม่ มาร์ค 7 เปิดตัวล่วงหน้าก่อนงานปารีส มอเตอร์โชว์ 2012 จะเริ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยรุ่นใหม่ได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังใหม่ที่เรียกว่า MQB หรือ (Modularer Querbaukasten) ส่วนในภาษาอังกฤษเรียกว่า Modular Transverse Matrix ซึ่งเป็นพื้นตัวถังรุ่นใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนารถยนต์ขนาคอมแพกต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้าของโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป

ในรุ่นใหม่มีน้ำหนักตัวเบาลงจากรุ่นเดิมราวๆ 23 กิโลกรัม แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งและทนทานขึ้น รวมถึงยังมีความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก 23% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์และตัวถังเดียวกัน โดยในด้านมิติตัวถังของรถยนต์รุ่นนี้มากับความยาว 4,255 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่ารุ่นเดิมอยู่ 56 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 59 มิลลิเมตร เป็น 2,637 มิลลิเมตร ขณะที่รูปทรงโดยรวม แม้ว่าจะเป็นตัวถังแฮทช์แบ็ก แต่ก็มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน-Cd ที่ดีขึ้นอีก 10% อยู่ที่ 0.27 เท่านั้น

สำหรับตัวถังที่ทำตลาดในช่วงแรกจะมีแค่แฮทช์แบ็กทั้ง 3 และ 5 ประตูก่อน จากนั้นรุ่นเปิดประทุน, แวกอน และทรงอเนกประสงค์ในสไตล์ MPV ที่ใช้พื้นฐานเดียวกันก็จะถูกเปิดตัวตามออกมาในอนาคต

ทางเลือกของเครื่องยนต์มีหลากหลายเช่นเดิม โดยสเปกที่ขายในยุโรปจะมีเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล ที่มาพร้อมกับระบบ Auto Start/Stop พร้อมกับแบตเตอรี่สำหรับเก็บกระแสไฟฟ้า โดยกำลังของเครื่องยนต์จะอยู่ระหว่าง 85-150 แรงม้า เริ่มจากรุ่นเบนซิน TSI 1,200 ซีซี 85 แรงม้า ตามด้วย 1,400 ซีซี TSI 140 แรงม้าพร้อมระบบ Active Cylinder Technology สามารถลดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจากเดิม 4 สูบ ลงเหลือ 2 สูบได้ในบางสภาพการขับ

ส่วนรุ่นเทอร์โบดีเซล ก็มากับขุมพลัง 1,600 ซีซี 105 แรงม้า และ 2,000 ซีซี 150 แรงม้า ซึ่งทั้งหมดมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 106-113 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร นอกจากนั้น ในกอล์ฟใหม่ยังมีการติดตั้งเทคโนโลยีมากมาย ทั้งระบบ PreCrash ซึ่งจะเตรียมพร้อมตัวรถในกรณีที่อุบัติเหตุการชนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจะมีทั้งการดึงเข็มขัดนิรภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน การปิดกระจกหน้าต่างและซันรูฟอัตโนมัติ และการเตรียมจุดระเบิดให้กับถุงลมนิรภัย

ส่วนที่เหลือก็มีทั้งระบบล็อกความเร็วที่สามารถปรับระดับความเร็วได้ หรือ Adaptive Cruise Control ซึ่งสามารถปรับความเร็วอัตโนมัติได้สูงสุด 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามด้วยระบบเบรกฉุกเฉินเมื่อขับในเมือง ซึ่งจะทำงานที่ระดับความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบช่วยจอด หรือ Park Assist

เปิดตัวแล้ว และพร้อมทำตลาดในยุโรปทันทีช่วงปลายปีนี้ ส่วนตลาดกลุ่มอื่นๆ ก็ต้องรอกันไปก่อนว่าจะมาเมื่อไร




กำลังโหลดความคิดเห็น