ASTV ผู้จัดการายวัน – “ฮอนด้า” เดินหน้าตามวิสัยทัศน์เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือวิชั่น 2020 เปิดตัว “ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด” เก๋งซับคอมแพ็กต์ไฮบริดคันแรกในไทย เคาะราคาสะเทือนตลาด 7.68 แสนบาท แถมรับสิทธิ์คืนเงินภาษีรถคันแรก เผยวางราคาตามนโยบายที่ต้องการให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่าย แย้มเป็นบันไดแรกของรุ่นอื่นๆ ที่จะตามมา
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ฮอนด้ามีวิสัยทัศน์ขององค์กรปี พ.ศ.2563 (วิชั่น 2020) เป็นบริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมและดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นฮอนด้าจึงได้กำหนด Blue Skies for Our Children เป็นวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการประกาศเจตนารมณ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 30% จากผลิตภัณฑ์ฮอนด้าทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์, รถจักยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ภายในปี พ.ศ.2563
“เพื่อดำเนินตามวิสัยทัศน์ดังกล่าว ฮอนด้าจึงได้มีการแนะรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริดสู่ตลาดในไทยเป็นคันแรก ซึ่งเป็นรถที่ปล่อยคาร์บอนไดอออไซด์เพียง 110 กรัมต่อกม. และมีอัตราประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติกว่า 30% หรืออัตราการบริโภคน้ำมัน 21.3 กม.ต่อลิตร และที่สำคัญมีราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายเพียง 7.68 แสนบาท”
จากวิสัยทัศน์ขององค์กรปี พ.ศ.2563 ฮอนด้าจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ในทุกชนิด และการเปิดตัวฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด นับเป็นก้าวแรกของการดำเนินงานในไทย และทำให้มีโอกาสที่จะพิจารณานำผลิตภัณฑ์อื่นๆ เข้ามาทำตลาดในอนาคตด้วย ซึ่งนอกจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว ราคาเป็นอีกสิ่งสำคัญในนโยบายของฮอนด้า เพราะหากพัฒนารถมาประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแค่ไหน แต่หากราคาไม่สามารถทำให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่าย ที่สุดก็จะไม่บรรลุเป้าหมาย หรือเกิดประโยชน์แต่อย่างใด
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด ที่แนะนำสู่ตลาด เป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย โดยนำเข้าระบบไฮบริดและเครื่องยนต์จากประเทศญี่ปุ่นมาประกอบ และรุ่นแจ๊ซได้มีการผลิตในไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับปรุงบางอย่างเล็กน้อย จึงทำให้ไม่ต้องมีการลงทุนหรือมีต้นทุนเพิ่มมาก ประกอบกับรัฐบาลได้มีการสนับสนุนรถยนต์ใช้พลังงานทดแทน จึงให้สิทธิประโยชน์เสียภาษีสรรพสามิตเพียง 10% ซึ่งต่ำกว่าภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งทั่วไป
“จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ฮอนด้าสามารถทำราคาแจ๊ซไฮบริดเพียง 7.68 แสนบาท หรือแพงกว่ารุ่นท็อปของรุ่นปกติ 5.3 หมื่นบาท และยังได้รับสิทธิ์เข้าโครงการรถคันแรก ทำให้มีราคาหลังคืนภาษีไม่เกิน 7 แสนบาท นอกจากนี้ฮอนด้ายังรับประกันระบบไฮบริดอีก 5 ปี ซึ่งการแนะนำรถแจ๊ซไฮบริดสู่ตลาดครั้งนี้ ตั้งเป้าไว้ปีละ 1 หมื่นคัน หรือปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตและส่งมอบได้ประมาณ 5 พันคัน”
สำหรับฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด เปิดตัวทำตลาดเพียงรุ่นเดียว เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนทันสมัย รักษ์สิ่งแวดล้อม ที่มาในคอนเซ็ปต์ “เรียบ” และ “ล้ำสมัย” แตกต่างด้วยกระจังหน้า ไฟหน้าและไฟท้ายแบบใหม่สไตล์ไฮบริด ครบครันด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Eco Assist ระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน
ในส่วนของเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร เครื่องยนต์จะให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 14 แรงม้าที่ 1,500 รอบต่อนาทีโดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัวและเร่งแซง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Mode โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ขณะที่เครื่องยนต์เข้าสู่ EV Mode จะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ช่วงลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไปในขณะเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับคืนสู่แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ต่อไป ซึ่งเมื่อรถหยุดเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติและเข้าสู่โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ฮอนด้ามีวิสัยทัศน์ขององค์กรปี พ.ศ.2563 (วิชั่น 2020) เป็นบริษัทที่คิดค้นนวัตกรรมและดำเนินกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นฮอนด้าจึงได้กำหนด Blue Skies for Our Children เป็นวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาได้มีการประกาศเจตนารมณ์ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 30% จากผลิตภัณฑ์ฮอนด้าทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์, รถจักยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ ภายในปี พ.ศ.2563
“เพื่อดำเนินตามวิสัยทัศน์ดังกล่าว ฮอนด้าจึงได้มีการแนะรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริดสู่ตลาดในไทยเป็นคันแรก ซึ่งเป็นรถที่ปล่อยคาร์บอนไดอออไซด์เพียง 110 กรัมต่อกม. และมีอัตราประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติกว่า 30% หรืออัตราการบริโภคน้ำมัน 21.3 กม.ต่อลิตร และที่สำคัญมีราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายเพียง 7.68 แสนบาท”
จากวิสัยทัศน์ขององค์กรปี พ.ศ.2563 ฮอนด้าจึงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ในทุกชนิด และการเปิดตัวฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด นับเป็นก้าวแรกของการดำเนินงานในไทย และทำให้มีโอกาสที่จะพิจารณานำผลิตภัณฑ์อื่นๆ เข้ามาทำตลาดในอนาคตด้วย ซึ่งนอกจากเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว ราคาเป็นอีกสิ่งสำคัญในนโยบายของฮอนด้า เพราะหากพัฒนารถมาประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแค่ไหน แต่หากราคาไม่สามารถทำให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่าย ที่สุดก็จะไม่บรรลุเป้าหมาย หรือเกิดประโยชน์แต่อย่างใด
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด ที่แนะนำสู่ตลาด เป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย โดยนำเข้าระบบไฮบริดและเครื่องยนต์จากประเทศญี่ปุ่นมาประกอบ และรุ่นแจ๊ซได้มีการผลิตในไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับปรุงบางอย่างเล็กน้อย จึงทำให้ไม่ต้องมีการลงทุนหรือมีต้นทุนเพิ่มมาก ประกอบกับรัฐบาลได้มีการสนับสนุนรถยนต์ใช้พลังงานทดแทน จึงให้สิทธิประโยชน์เสียภาษีสรรพสามิตเพียง 10% ซึ่งต่ำกว่าภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งทั่วไป
“จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ฮอนด้าสามารถทำราคาแจ๊ซไฮบริดเพียง 7.68 แสนบาท หรือแพงกว่ารุ่นท็อปของรุ่นปกติ 5.3 หมื่นบาท และยังได้รับสิทธิ์เข้าโครงการรถคันแรก ทำให้มีราคาหลังคืนภาษีไม่เกิน 7 แสนบาท นอกจากนี้ฮอนด้ายังรับประกันระบบไฮบริดอีก 5 ปี ซึ่งการแนะนำรถแจ๊ซไฮบริดสู่ตลาดครั้งนี้ ตั้งเป้าไว้ปีละ 1 หมื่นคัน หรือปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตและส่งมอบได้ประมาณ 5 พันคัน”
สำหรับฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด เปิดตัวทำตลาดเพียงรุ่นเดียว เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนทันสมัย รักษ์สิ่งแวดล้อม ที่มาในคอนเซ็ปต์ “เรียบ” และ “ล้ำสมัย” แตกต่างด้วยกระจังหน้า ไฟหน้าและไฟท้ายแบบใหม่สไตล์ไฮบริด ครบครันด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Eco Assist ระบบช่วยการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน
ในส่วนของเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.3 ลิตร เครื่องยนต์จะให้กำลังสูงสุด 88 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 14 แรงม้าที่ 1,500 รอบต่อนาทีโดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และเสริมแรงด้วยพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกตัวและเร่งแซง เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำคงที่ เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และเข้าสู่ EV Mode โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ขณะที่เครื่องยนต์เข้าสู่ EV Mode จะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ช่วงลดความเร็วหรือเบรก เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน ระบบจะนำพลังงานที่สูญเสียไปในขณะเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าส่งกลับคืนสู่แบตเตอรี่ไฮบริดเพื่อเก็บพลังงานไว้ใช้ต่อไป ซึ่งเมื่อรถหยุดเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานอัตโนมัติและเข้าสู่โหมด Idling Stop เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ