หลังจากประกาศหยุดพักงานดนตรีไว้สักพักใหญ่ “เอกรัตน์ วงศ์ฉลาด” หรือที่รู้จักกันดีในแวดวงขาร็อควัยโจ๋ “แด๊ก บิ๊กแอส” เปิดเผยชีวิตอีกด้านหนึ่ง ในบทบาทของคาวบอยยุคใหม่ที่ตัดสินใจแขวนไมค์และผูกม้าไว้เบื้องหลัง เพราะเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ขอควบซูเปอร์ไบค์แทนอาชาคู่ใจแล้วกัน...
“ทุกวันนี้ใช้มอเตอร์ไซค์ 70% รถยนต์ 30% หากฝนไม่ตก ผมขี่ 2 ล้อเป็นหลักแทบทุกวันครับ” อดีตนักร้องนำวงร็อคก้นใหญ่เริ่มต้นเล่าถึงความชอบส่วนตัวต่อว่า
“ชีวิตผมกับมอเตอร์ไซค์ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กๆ เคยดูยอดมนุษย์ ไอ้มดแดง ฮีโร่ในยุคนั้นรู้สึกว่าพวกเขาเท่มาก ทุกคนจะมียานพาหนะส่วนตัวเป็นมอเตอร์ไซค์ รวมถึงได้ดูหนังเกี่ยวกับคาวบอย ผมชอบในมุมมองของพวกเขาที่มีอิสระจะเดินทางไปไหนก็ได้ แค่ควบม้าไปในดินแดนตะวันตก และไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบ เพราะเขามีเวลาทั้งชีวิต อันนี้เป็นประโยคเด็ดที่ผมจำได้ขึ้นใจ”
แด๊ก บิ๊กแอส เล่าว่า สมัยก่อนที่บ้านมีแต่รถยนต์ไม่มีมอเตอร์ไซค์ เขาเริ่มต้นขี่ 2 ล้อ อย่างจริงจังเมื่ออายุประมาณ 16 ปี ด้วยรถประเภทบิดอย่างเดียว สกู๊ตเตอร์ขนาด 50 ซีซี. หรือที่เรียกกันว่ารถป็อป และในที่สุดความฝันก็เป็นจริงสู่การครอบครองม้าเร็วคันแรกของตัวเอง สำหรับ ซูซูกิ เค 125 รถคลาสสิก 2 จังหวะ
“รถคันแรกของผมได้มาเพราะตอนนั้นเห็นเพื่อนขี่มาให้ดู เฮ้ย...รถอะไรเนี่ย สวยจัง ควันโขมง มีตะแกรงหลังด้วย ก็เลยซื้อมาลองใช้ ถือว่าเพิ่งเคยจับรถมีคลัทช์ครั้งแรกด้วย ไม่รู้วิธีขี่ แต่ยังดีที่ผมขับรถยนต์เป็นและคิดว่าไม่น่าจะต่างกัน ซึ่งพอจับไม่กี่วันก็ควบคุมได้ และคราวนี้จึงขี่มอเตอร์ไซค์เรื่อยมา และในหนึ่งปีจะตั้งตารอฤดูกาลของชาว 2 ล้อ ซึ่งก็คือหน้าหนาว เคยใช้รถโบราณไปเชียงใหม่ด้วยระยะเวลา 3 วัน นอนข้างทางบ้าง ริมทางรถไฟบ้าง ข้างส้วมในปั้มบ้าง ตอนนั้นมองตัวเองว่าเป็นคาวบอย พอไปถึงปลายทาง ก็ผูกม้า ก่อกองไฟ นั่งกินข้าวข้างทาง ผมชอบบรรยากาศแบบนี้”
ด้วยความที่รักอิสระและชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ อดีตนักร้องนำวงบิ๊กแอสเล่าว่า เคยขี่มอเตอร์ไซค์ตะลุยมาแล้วเกือบทั่วประเทศ และที่น่าจดจำมากที่สุดคือ ทริปเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนำมาสู่การเข้าเรียนคอร์สขับขี่ปลอดภัยอย่างถูกวิธีกับทางเอ.พี.ฮอนด้า
“ตอนนั้นขี่ขึ้นเขาลงดอยแล้วเกือบตาย แม้จะไม่ได้ล้ม แต่รู้สึกว่ามันลำบากมากในการขี่เข้าโค้ง เพราะเกือบแหกไปหลายโค้งเหมือนกัน ในชีวิตไม่เคยเสียวขนาดนี้ เห็นคนอื่นขี่กันสบายๆ แต่ผมโคตรเหนื่อยเลย เพราะเราไม่ใช่คนพื้นที่ ไม่ชินเส้นทางและไม่รู้ว่าต้องบังคับรถยังไง”
ก่อนและหลังเรียนเป็นอย่างไรบ้าง? “เปรียบเทียบเหมือนคนที่ไม่รู้หนังสือกับคนที่อ่านออกเขียนได้ มันต่างกันมากครับ หากเราพยายามจะเรียนรู้ด้วยตัวเองแต่ไม่รู้ว่ามันอ่านยังไง แต่ถ้ามีคนมาสอนจะทำให้ราพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่า เพราะมันไม่ใช่การลองถูกลองผิด เนื่องจากเรายังไม่รู้เลยว่า อะไรคือถูกและอะไรคือผิด ซึ่งมีหลายคนที่พลาดไป กว่าจะเรียนรู้ได้บางทีอาจต้องใช้ชีวิตเข้าแลกด้วยซ้ำ”
“และหลังจากได้เข้าเรียนตั้งแต่ครั้งแรก ตอนนี้ผมกลายเป็นคนเสพติดการฝึกซ้อมขับขี่เข้าเส้นไปแล้ว เพราะปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำตัวเรื่อยมาว่าจะต้องมาซ้อมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อเดือน”
ส่งท้ายด้วยอาชาในฝันของคาวบอยยุคใหม่ “จากรถโบราณขนาดเล็ก ผมขยับซีซี.และรุ่นปีที่ผลิตใหม่ขึ้นมาอยู่ตลอด และล่าสุดตอนนี้ใช้รุ่น วีเอฟอาร์ 1200 ซูเปอร์สปอร์ตทัวริ่ง ซึ่งฮอนด้าบิ๊กวิงเพิ่งนำเข้ามาจำหน่ายเมื่อต้นปีนี้เอง นับเป็นรถในฝัน เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผมได้ทุกอย่าง ด้วยความที่ชอบขี่รถเที่ยวเดินทางไกล รูปลักษณ์สวยงาม ใช้เพลาขับเคลื่อน ยิ่งมีระบบคลัทช์คู่แบบออโตเมติก เติมเต็มการใช้งาน ขับขี่ได้อย่างสบายไปได้ทั่วไทยแน่นอนครับ”
“ทุกวันนี้ใช้มอเตอร์ไซค์ 70% รถยนต์ 30% หากฝนไม่ตก ผมขี่ 2 ล้อเป็นหลักแทบทุกวันครับ” อดีตนักร้องนำวงร็อคก้นใหญ่เริ่มต้นเล่าถึงความชอบส่วนตัวต่อว่า
“ชีวิตผมกับมอเตอร์ไซค์ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กๆ เคยดูยอดมนุษย์ ไอ้มดแดง ฮีโร่ในยุคนั้นรู้สึกว่าพวกเขาเท่มาก ทุกคนจะมียานพาหนะส่วนตัวเป็นมอเตอร์ไซค์ รวมถึงได้ดูหนังเกี่ยวกับคาวบอย ผมชอบในมุมมองของพวกเขาที่มีอิสระจะเดินทางไปไหนก็ได้ แค่ควบม้าไปในดินแดนตะวันตก และไปเรื่อยๆ โดยไม่รีบ เพราะเขามีเวลาทั้งชีวิต อันนี้เป็นประโยคเด็ดที่ผมจำได้ขึ้นใจ”
แด๊ก บิ๊กแอส เล่าว่า สมัยก่อนที่บ้านมีแต่รถยนต์ไม่มีมอเตอร์ไซค์ เขาเริ่มต้นขี่ 2 ล้อ อย่างจริงจังเมื่ออายุประมาณ 16 ปี ด้วยรถประเภทบิดอย่างเดียว สกู๊ตเตอร์ขนาด 50 ซีซี. หรือที่เรียกกันว่ารถป็อป และในที่สุดความฝันก็เป็นจริงสู่การครอบครองม้าเร็วคันแรกของตัวเอง สำหรับ ซูซูกิ เค 125 รถคลาสสิก 2 จังหวะ
“รถคันแรกของผมได้มาเพราะตอนนั้นเห็นเพื่อนขี่มาให้ดู เฮ้ย...รถอะไรเนี่ย สวยจัง ควันโขมง มีตะแกรงหลังด้วย ก็เลยซื้อมาลองใช้ ถือว่าเพิ่งเคยจับรถมีคลัทช์ครั้งแรกด้วย ไม่รู้วิธีขี่ แต่ยังดีที่ผมขับรถยนต์เป็นและคิดว่าไม่น่าจะต่างกัน ซึ่งพอจับไม่กี่วันก็ควบคุมได้ และคราวนี้จึงขี่มอเตอร์ไซค์เรื่อยมา และในหนึ่งปีจะตั้งตารอฤดูกาลของชาว 2 ล้อ ซึ่งก็คือหน้าหนาว เคยใช้รถโบราณไปเชียงใหม่ด้วยระยะเวลา 3 วัน นอนข้างทางบ้าง ริมทางรถไฟบ้าง ข้างส้วมในปั้มบ้าง ตอนนั้นมองตัวเองว่าเป็นคาวบอย พอไปถึงปลายทาง ก็ผูกม้า ก่อกองไฟ นั่งกินข้าวข้างทาง ผมชอบบรรยากาศแบบนี้”
ด้วยความที่รักอิสระและชื่นชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ อดีตนักร้องนำวงบิ๊กแอสเล่าว่า เคยขี่มอเตอร์ไซค์ตะลุยมาแล้วเกือบทั่วประเทศ และที่น่าจดจำมากที่สุดคือ ทริปเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งนำมาสู่การเข้าเรียนคอร์สขับขี่ปลอดภัยอย่างถูกวิธีกับทางเอ.พี.ฮอนด้า
“ตอนนั้นขี่ขึ้นเขาลงดอยแล้วเกือบตาย แม้จะไม่ได้ล้ม แต่รู้สึกว่ามันลำบากมากในการขี่เข้าโค้ง เพราะเกือบแหกไปหลายโค้งเหมือนกัน ในชีวิตไม่เคยเสียวขนาดนี้ เห็นคนอื่นขี่กันสบายๆ แต่ผมโคตรเหนื่อยเลย เพราะเราไม่ใช่คนพื้นที่ ไม่ชินเส้นทางและไม่รู้ว่าต้องบังคับรถยังไง”
ก่อนและหลังเรียนเป็นอย่างไรบ้าง? “เปรียบเทียบเหมือนคนที่ไม่รู้หนังสือกับคนที่อ่านออกเขียนได้ มันต่างกันมากครับ หากเราพยายามจะเรียนรู้ด้วยตัวเองแต่ไม่รู้ว่ามันอ่านยังไง แต่ถ้ามีคนมาสอนจะทำให้ราพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่า เพราะมันไม่ใช่การลองถูกลองผิด เนื่องจากเรายังไม่รู้เลยว่า อะไรคือถูกและอะไรคือผิด ซึ่งมีหลายคนที่พลาดไป กว่าจะเรียนรู้ได้บางทีอาจต้องใช้ชีวิตเข้าแลกด้วยซ้ำ”
“และหลังจากได้เข้าเรียนตั้งแต่ครั้งแรก ตอนนี้ผมกลายเป็นคนเสพติดการฝึกซ้อมขับขี่เข้าเส้นไปแล้ว เพราะปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำตัวเรื่อยมาว่าจะต้องมาซ้อมเฉลี่ย 2 ครั้งต่อเดือน”
ส่งท้ายด้วยอาชาในฝันของคาวบอยยุคใหม่ “จากรถโบราณขนาดเล็ก ผมขยับซีซี.และรุ่นปีที่ผลิตใหม่ขึ้นมาอยู่ตลอด และล่าสุดตอนนี้ใช้รุ่น วีเอฟอาร์ 1200 ซูเปอร์สปอร์ตทัวริ่ง ซึ่งฮอนด้าบิ๊กวิงเพิ่งนำเข้ามาจำหน่ายเมื่อต้นปีนี้เอง นับเป็นรถในฝัน เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผมได้ทุกอย่าง ด้วยความที่ชอบขี่รถเที่ยวเดินทางไกล รูปลักษณ์สวยงาม ใช้เพลาขับเคลื่อน ยิ่งมีระบบคลัทช์คู่แบบออโตเมติก เติมเต็มการใช้งาน ขับขี่ได้อย่างสบายไปได้ทั่วไทยแน่นอนครับ”