เพื่อพิสูจน์สมรรถนะอันยอดเยี่ยมของ “ออลนิว อีซูซุ ดีแมคซ์” การเดินทางในรูปแบบคาราวานสู่ 3 มณฑลของประเทศจีน จึงเริ่มต้นจากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ผ่านเมืองไขหลี่ มณฑลกุ้ยโจว ต่อด้วยเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน เพื่อชมความงดงามอลังการของอุทยาน “จางเจียเจี้ย” ซึ่งเป็นฉากอันยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ชื่อดังเรื่อง “อวตาร” และด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของชื่อทริปว่า “ย้ำแดนมังกร ย้อนรอย อวตาร”
ดังนั้นรถอีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่หมด 15 คันจึงถูกขนย้ายจากไทยสู่ประเทศลาวโดยใช้คนขับ ต่อจากนั้นนำรถขึ้นเทรลเลอร์จากชายแดนลาวเข้าจีนสู่เมืองคุนหมิง เพื่อรอสื่อมวลชนไทยกลุ่มแรกเดินทางมาพิสูจน์ ขณะที่กลุ่มสองจะขับย้อนรอยกลับมาที่เดิมรวมระยะทางไปกลับ 3,400 กิโลเมตร สำหรับ “เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน” เป็นกลุ่มแรกที่ได้สัมผัส
เช้าวันแรกของขบวนคาราวาน อีซุซุ ดีแมคซ์ ใหม่ ทั้งหมด 15 คัน ออกเดินทางจากคุนหมิงมุ่งสู่เมืองไขหลี่ รวมระยะทาง 700 กิโลเมตร โดยรถทุกคันจะใช้เส้นทางบนทางด่วนหมายเลข G60 เป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างที่กล่าวข้างต้นว่ารถอีซูซุ ดีแมคซ์ ทุกคันมาจากเมืองไทยจึงเป็นพวงมาลัยขวา ขณะที่เมืองจีนรถเป็นพวงมาลัยซ้าย นั้นเท่ากับว่าการขับขี่จะต้องใช้ความระมัดระวัง พร้อมกับปรับตัวให้ชินกับถนนในเมืองจีน ที่สำคัญการขับขี่ของคนจีน ที่ต้องยอมรับว่า “สุดยอด” ของการไม่มีระบบ ระเบียบ ไม่มีมารยาท จะแซง จะปาด จะเสียบ จะเดิน จะข้ามถนน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจรถคันอื่นแม้แต่น้อย และด้วยพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ขบวนคาราวานเราต้องปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางกันทุกวัน
สำหรับเมืองคุนหมิง เป็นเมืองเอกของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ปัจจุบันมีประชากรรวมกว่า 7 ล้านคน โดยภูมิประเทศคุนหมิงเต็มไปด้วยภูเขาล้อมรอบตัวเมือง 3 ด้าน อาณาเขตทิศใต้ติดกับทะเลสาบสูง 1,850 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเตียนฮือด้านทิศเหนือ และเนื่องจากมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี จึงถูกขนานนามว่า “นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ”
ก่อนออกเดินทางเราได้มีการสำรวจรูปลักษณ์ภายนอกของอีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่ สังเกตว่ามันใหญ่ บึกบึน กว่ารุ่นเดิม ออกสปอร์ตๆ และเมื่อเข้าไปนั่งในรถจะพบว่าห้องโดยสารมีความกว้างขวาง นั่งสบาย ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง แถมยังมีช่องเก็บของมากมายให้ใช้…เมื่อขบวนเคลื่อนที่ก็ขึ้นทางด่วนลาดยางอย่างดีของเมืองจีน โดยขับอย่างสบาย ๆ เพราะความที่ตัวรถยกสูง ทำให้ทัศนวิสัยในการมองค่อนข้างดี ชัดเจน บางจังหวะของการขับขี่ที่ต้องใช้ความเร็วก็สามารถตอบสนองได้ดีในช่วงเร่งแซง แต่ความเร็วของการเดินทางส่วนใหญ่จะใช้อยู่ประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะมากกว่านี้อาจเจอกล้องจับความเร็วที่ติดตั้งมาเป็นระยะ
ระหว่างทางจากเมืองคุนหมิงไปเมืองไขหลี่ วิวสองข้างทางจะผ่านหมู่บ้านชนบท มีการเพราะปลูกไร่ชา และทำนาข้าวแบบขั้นบันไดสวยงาม ขณะที่ เส้นทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ บางจังหวะของการขับขี่ เราใช้กำลังเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ โดยแรงบิดของเครื่องยนต์ อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่สามารถให้แรงบิดช่วงกว้างได้ตั้งแต่รอบต่ำ ตอบสนองได้ดีอย่างต่อเนื่องจนถึงรอบสูง จึงทำให้ในบางช่วงที่เป็นทางชันไม่จำเป็นต้องกดคันเร่งเยอะหรือลดเกียร์ลงมา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการขับเกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์ธรรมดาก็ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน คืออัตราเร่งดีพอ ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกียร์อัตโนมัติจะมีระบบ Revtronic ซึ่งสามารถไล่เกียร์ได้เหมือนเกียร์ธรรมดา ทำให้การขับขึ้นลงทางชันเป็นไปอย่างสบาย ๆ มั่นใจ
แต่การขับขี่แบบสบาย ๆ บนทางด่วนก็ไม่สามารถพาเราไปถึงที่หมายปลายทางได้ตามแผน ทั้งที่เหลือระยะทางแค่ 200 กิโลเมตร เพราะผู้นำทางโดย พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ แจ้งให้ทราบว่าเกิดอุบัติเหตุ หากจะรอให้ตำรวจเคลียร์ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ขบวนคาราวานของเราเลยตัดสินใจใช้เส้นทางเล็กๆด้านล่างลัดเลาะผ่านหมู่บ้านแทนเส้นทางไฮเวย์หลัก ทำให้เราได้พบเห็นธรรมชาติและสภาพชุมชน รวมทั้งวิถีชีวิตชนบทของจีนที่ดูเรียบง่ายต่างกับสภาวะอันยุ่งเหยิงบนถนนแคบ ๆ แบบ 2 เลนสวนกัน และเสียงแตรของรถที่บีบไล่กันอย่างดังสนั่นไม่เกรงใจใคร ซึ่งไม่อาจทำให้ผู้ที่เดินสะทกสะท้านแต่อย่างไร จุดนี้ผู้ขับจึงต้องใช้ความระมัดระวังและทักษะในการขับขี่อย่างสูงในการหลบทั้งรถและคนเดินเท้า
วันที่สองของขบวนคาราวาน อีซูซุดีแมคซ์ เริ่มขึ้นที่เมืองไขหลี่เดินทางต่อไปยังเมืองฉางซา รวมระยะทาง 670 กิโลเมตร โดยผ่านเมืองเส้าหยาง มายังเมืองเส้ากว้าน ซึ่งเป็นเมืองเกิดของท่านประธานเหมาเจ๋อตุง รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจของชาวจีนทุกคน จากนั้นเข้าสู่เมืองฉางซาอันเป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน แม้ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูชาวไทยนักแต่ “ฉางซา” เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีความเจริญมากกว่าคุนหมิงเสียอีก
การเดินทางของวันนี้ขบวนคาราวานต้องเผชิญกับฝนตกตลอดทั้งวัน ทำให้การขับขี่ต้องใช้สมาธิเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะ อีซูซุใหม่ ออกแบบแพลตฟอร์มใหม่หมดทำให้การทรงตัวดี เกาะถนน เข้าโค้งท่ามกลางถนนเปียกลื่น ก็ไม่มีปัญหา ทั้งนี้เป็นผลมาจาก เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด i-Grip Platform ที่ผสานระหว่างช่วงล่างออกแบบใหม่ ขยายความกว้างช่วงล้อหน้าและล้อหลัง ฐานล้อที่ยาวขึ้น อีกทั้งการวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่เหมาะสม เพื่อเป็นการสร้างสมดุลยภาพในการขับขี่ บวกกับเบรกของ “อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด มีมาอย่างครบเครื่องไม่ว่าจะเป็น ABS EBD G-Sensor ในรุ่น V-Cross และ Brake Assist (ฺBA)
เส้นทางของขบวนคาราวานยังวิ่งอยู่บนทางด่วน ผ่านด่านเก็บเงินเป็นระยะ ๆ ผ่านอุโมงค์ลูกแล้ว ลูกเล่า จนนับไม่ถ้วน ทั้งนี้ประเทศจีนถือเป็นประเทศที่เชี่ยวชาญในการตัดเส้นทางผ่านเทือกเขาสูงชันโดยการระเบิดอุโมงค์ และสร้างสะพานเชื่อมเพื่อนย่นระยะเวลาในการเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ให้สั้นลง ระหว่างการเดินทางคาราวาน อีซูซุดีแมคซ์ ได้ลอดผ่านอุโมงค์และสะพานแขวนหลายแห่ง โดยเฉพาะสะพานสำคัญที่มีชื่อว่า “เพ่ยหลินปะ” ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีความยาวถึง 2,270 เมตร
แต่อุปสรรคไม่ได้มีแค่เฉพาะ ฝน เท่านั้น ขบวนคาราวานยังเจอปัญหาเดิม ๆ คือถนนปิดเนื่องจากอุบัติเหตุ คณะเราจึงจำเป็นต้องขับอ้อมลงไปบนถนนท้องถิ่นที่มีการจราจรพลุกพล่าน ถนนแคบ ไม่มีไหล่ทาง จอแจ ทั้งคน ทั้งรถ เสียงแตรที่บีบไล่กันดังสนั่นแบบไม่เกรงใจใคร เล่นเอาเครียดไปเหมือนกัน แต่ด้วยความคล่องตัวของดีแมคซ์ พวงมาลัยที่แม่นยำ ทำให้ผ่าการจราจรแบบห่วย ๆ ได้จนมาถึงจุดหมายเมืองฉางซาอย่างปลอดภัยทุกคัน
สำหรับวันที่สาม คณะเราจะเดินทางแค่ 330 กิโลเมตรเท่านั้น สู่เมืองเล็ก ๆ “จางเจียเจี้ย” ที่พึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคิดว่าขับรถวันสุดท้ายน่าจะสบาย ๆ แต่มันไม่เป็นดั่งใจคิด เมื่อเราวิ่งขึ้นทางด่วนได้ไม่นานนัก ก็เจอข่าวร้ายเช่นเคย คือเกิดอุบัติเหตุ ปิดถนน แน่นอนขบวนคาราวานจำต้องหันหัวสู่เส้นทางท้องถิ่นเหมือนสองวันที่ผ่านมา แต่วันนี้ค่อนข้างโหด เพราะระยะทางไกล บวกกะเส้นทางที่ต้องขับผ่านตลาด ชุมชน ที่จอแจ-รถ-คน มั่วกันไปหมด ทำให้ขบวนคาราวานทุกคันต้องพยายามช่วยเหลือตัวเอง เอาตัวรอดในการฝ่าการจราจร การขับขี่แบบไร้มารยาทของคนจีน อีกทั้งรถของเราเป็นพวงมาลัยขวา ส่วนรถจากเมืองจีนเป็นพวงมาลัยซ้ายตำแหน่งผู้ขับจึงไม่สามารถมองเห็นรถสวนทางด้านซ้ายได้ จึงเป็นหน้าที่ของเพื่อนร่วมเดินทาง คอยบอกจังหวะของการเร่งแซงรถที่อยู่ด้านหน้าให้ตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะเบรกใช้บ่อยมากและไม่ทำให้ผิดหวัง จนมาถึงโรงแรมทีพัก
ที่สำคัญระหว่างการขับรถในช่วง 3 วัน ได้มีโอกาสนั่งและขับก็ต้องขอบอกว่า อีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่หมด นั่งสบาย เหมือนรถเก๋ง ไม่กระเด้งกระดอน แอร์ก็เย็น แถมระบบความบันเทิงในรถที่มีทั้งชุดเครื่องเล่น ดีวีดี จอมอนิเตอร์ ขนาด 7 นิ้ว พร้อมสวิตช์ควบคุมเสียงที่พวงมาลัย แถมมีลำโพงถึง 8 ตัว พร้อมระบบ USB เสียบฟังเพลงในไอพอด ได้สบาย และยังเปิดไอโฟนเล่นผ่านบลูทูธอีกด้วย งานนี้ได้ฟังเพลงที่พกพาไปกันแบบเต็มอิ่มตลอดการเดินทาง
เหนืออื่นใดปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่หมด ได้รับสิทธิพิเศษในการนำรถจากประเทศไทยเข้าวิ่งบนถนนในอุทยานเป็นครั้งแรกผ่านเข้าโค้งเขาอันสูงชัน รวมกันถึง 99 โค้ง เพื่อไปจอดหน้าทางขึ้น “ประตูสวรรค์” ซึ่งปกติจะไม่อนุญาตให้นำรถขึ้นไปเองอย่างเด็ดขาดเพราะเส้นทางค่อนข้างอันตราย สำหรับประตูสวรรค์ ชาวจีนเชื่อว่าเป็นประตูที่เปิดรับพลังเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
การเดินทางอันท้าทายกว่า 1,700 กิโลเมตรกับ “อีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่หมด” จบลงด้วยความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ในสมถรรนะของรถ บวกกับความสะดวกสบายระหว่างการเดินทาง ที่พาพวกเรามาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย พร้อมสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ “จางเจียเจี้ย” สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “อวตาร” และยังมีโอกาสขึ้นกระเช้าสูงปรี๊ดยาวกว่า 7 กิโลเมตร ไปชมประตูสวรรค์ “เทียนเหมินซาน” ที่ต้องเดินขึ้นบันไดอีก 999 ขั้น เพื่อขึ้นจุดสุงสุด …. ถือเป็นความประทับใจที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
*******ในระหว่่างการเดินทาง คาราวาน ย้อนรอยอวตาร ครั้งนี้ ทางอีซูซุได้ใช้ระบบ "อีซูซุ อินไซท์" ในการประเมินผลนักขับในคณะด้วย ว่ามีพฤติกรรมการขับขี่อย่างไร
ระบบ อีซูซุ อินไซท์ มุ่งพัฒนาพฤติกรรมการขับขี่เฉพาะบุคคลในด้านต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่การประหยัดน้ำม้นอย่างเดียวเท่านั้น อีซูซุ ดังนั้นจึงสามารถบันทึกพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้รถและประเมินผลทักษะการขับขี่ รวมทั้งประมวลผลออกมาเป็นรายงานการขับขี่ ในรูปแบบกราฟใยแมงมุมเพื่อให้เข้าใจง่าย โดยวิเคราะห์พฤติกรรมการขับ 5 ด้าน ได้แก่ ความเร็วและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง, ช่วงรอบเดินเบา, รอบเครื่องยนต์, การใช้เบรก และการเหยียบคันเร่ง ทำให้ทุกคนได้ทราบถึงพฤติกรรมการขับของตนเองในสภาพการใช้งานจริงพร้อมคำแนะนำเพื่อให้ขับรถได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้นอีกด้วย
ผลการขับขี่คันของเราที่มีเพื่อนร่วมเดินทางเป็นหนังสือพิมพ์ "โพสต์ทูเดย์" ออกมาอย่างที่เห็นด้านล่างนี้