ช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2552 คนไทยมีโอกาสทำความรู้จักกับ “คัมรี่ ไฮบริด” ซึ่งถือเป็นรถไฮบริดรุ่นแรกที่ผลิตในเมืองไทย พร้อมทำตลาดอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ก่อนการลงทุนให้ไทยเป็นฐานผลิต “คัมรี่ ไฮบริด” เป็นประเทศที่ 3 ของโลก หรือเป็นประเทศแรกในเอเชีย โตโยต้าได้วางแผนสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่องว่า รถลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าคืออะไร ตลอดจนข้อดีต่างๆ ทั้งสมรรถนะ การประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ไม่มีข้อเสียในการประชาสัมพันธ์แน่นอน!)
ขณะเดียวกันโตโยต้ายังเดินแผนเรื่องสิทธิพิเศษด้านการลงทุนกับรัฐบาลควบคู่กันไป ทั้งการลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับการผลิตรถไฮบริด และการเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษที่ 10% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่ง ส่งผลให้ราคาขายอยู่ในระดับที่ลูกค้าพอจะเอื้อมถึงได้ (เมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งขนาดกลางด้วยกัน)
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ทำตลาด แม้จะเกิดคำถามมากมายจากผู้บริโภคชาวไทยว่า จะซื้อคัมรี่ ไฮบริดดีหรือไม่? ราคาแบตเตอรี่และค่าดูแลรักษาเป็นอย่างไร? หรือจะเลือกเพียงรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาก็พอแล้ว? ตลอดจนความคุ้มค่าเมื่อเทียบคู่แข่ง? แต่สุดท้าย ซื้อไป-งงไป “คัมรี่ ไฮบริด” โฉม(เก่า)นี้ ยังทำยอดขายได้กว่า25,000 คัน
...ถือว่าไม่น้อยนะครับ เมื่อดูจากค่าตัวรถระดับล้านกลางๆ
มาถึง “คัมรี่ โฉมใหม่” หรือเจเนอเรชันที่ 5 ของเมืองไทย แต่เป็นเจเนอเรชันที่ 7 ในตลาดโลก โตโยต้าจัดการเปิดตัวพร้อมกันทั้งรุ่นไฮบริด และรุ่นเครื่องยนต์ปกติ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 มีรถส่งมอบทันทีปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนรุ่นไฮบริดเพิ่งขึ้นไลน์ผลิตหลังสงกรานต์ จึงมีรถพร้อมส่งมอบตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไป
สำหรับ “คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” จะแต่งรูปพรรณให้ต่างจากตัวเครื่องยนต์ธรรมดาเล็กน้อย ทั้งกระจังหน้าโครเมียม รายละเอียดในโคมไฟ กันชนหน้าและเบ้าของไฟตัดหมอก รวมถึงโลโก้โตโยต้า(หน้า-หลัง)จะรองด้วยพื้นสีฟ้า ส่วนด้านท้ายใช้กรอบโคมไฟ ตลอดจนเส้นสายรายละเอียดไม่ต่างกัน แต่รุ่นไฮบริดมีแปะเอมเบลม HYBRID (มีอยู่ข้างตัวรถด้วย) และ HYBRID SYNERGY DRIVE เพื่อให้รู้ถึงมูลค่าที่จ่ายเงินเพิ่มไป ทั้งยังโดดเด่นเต็มตากับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 215/55 R17(รุ่น2.5 และ2.0 ใช้ 16 นิ้ว)
ส่วนภายในการจัดวางองค์ประกอบต่างๆคล้ายกัน แต่ที่เห็นได้ชัดคือรุ่นไฮบริดจะใช้ลายไม่สีเข้ม หวังเพิ่มความสปอร์ตขึ้นมาอีกนิด แต่กระนั้นก็จะเน้นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Entry และ Push Start ขณะที่เบาะนั่งแบบ Seat Ventilator จะมีพัดลมส่งผ่านลมจากภายใต้เบาะและพนักพิง เพื่อลดความอับชื้นบริเวณแผ่นหลังและขา
ด้านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันออกแบบใหม่ ฝังปุ่มควบคุมการทำงานของเครื่องเสียง จอแสดงข้อมูลรวม ระบบเชื่อมต่อBluetooth (เฉพาะรุ่น 2.5L HV Navigator และ 2.5L HV DVD) พร้อมช่องเสียบ Aux และ USB
ในรุ่นท็อป HV Navigator (ราคา1,869,000บาท)ที่ผู้เขียนได้ลองขับจะใช้หน้าจอทัชสกรีนขนาด7นิ้ว พร้อมระบบนำทาง แถมใจดีให้ลำโพง JBL มาถึง10 ตัว และพิเศษสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เบาะนั่งสามารถปรับเอนองศาได้เล็กน้อย ทั้งยังมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ม่านไฟฟ้าด้านหลัง ซึ่งติดตั้งมาให้บนที่วางแขนเพื่อเพิ่มความสบายในแบบที่เลือกได้เอง
...ดูเหมือน “คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” ต้องการเอาใจผู้โดยสารด้านหลังเป็นพิเศษครับ เพราะเหนือจากออปชันที่กล่าวมาแล้ว การเข้า-ออกภายในห้องโดยสารด้านหลังยังสะดวกสบาย ด้วยช่องประตูกว้างสอดตัวเข้าไปได้ไม่ยากเย็น แถมมีมือจับที่จะติดอยู่กับเบาะนั่งคู่หน้ามาให้เกาะได้ถนัด ซึ่งจากการลองนั่งของผู้เขียนพบว่าอุปกรณ์และการวางโครงสร้างต่างๆ สามารถเอื้ออำนวยได้อย่างเหมาะสม พร้อมพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขวาง บวกกับการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกก็จัดการได้อย่างยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกันช่วงล่างของ“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่”สามารถซับแรงสะเทือนจากพื้นถนน ที่จะสะท้านมายังเบาะนั่งของผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี...เรียกว่านุ่มสบาย นั่งเพลินได้ตลอดการเดินทาง
เมื่อลองนั่งเป็นผู้โดยสารเรียบร้อย ผู้เขียนจึงหันมาทดสอบสมรรถนะการขับขี่กันบ้าง ตามสเปกครับ “คัมรี่ ไฮบริดใหม่” หันมาใช้ขุมพลัง2.5 ลิตร (เดิม 2.4 ลิตร) โดยเครื่องยนต์ Atkinson Cycle 2AR-FXE DOHC 16 วาล์ว VVT-i ขนาด2,494 ซีซี ให้กำลังสูงสุด160 แรงม้า ที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด213 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงดันไฟฟ้าสูงสุด650 โวลต์ กำลังสูงสุด 148 แรงม้า แรงบิดสูงสุด270 นิวตันเมตรที่ 0 - 1,500 รอบต่อนาที โดยทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังสูงสุดรวม 205 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบE-CVT
โดยจังหวะกดคันเร่งออกตัว แม้จะไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากรุ่นเดิม เพราะยังเป็นกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเลยความเร็ว 30-40กม./ชม.(ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้า) ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมสอดประสานให้กำลังอย่างนุ่มนวล ซึ่งการขับขี่รวมๆ ผู้เขียนรู้สึกว่า“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่”มีพลังจัดจ้านพร้อมอัตราเร่งทันอกทันใจมากขึ้น
การขับทางไกลต่างจังหวัดใช้ความเร็วเฉลี่ย 100 - 140 กม./ชม. แน่นอนว่าเครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักเพื่อขับเคลื่อนรถ เหนืออื่นใดจะแอบส่งกำลังไปเจเนอเรเตอร์ให้แปลงเป็นไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตามมีหลายช่วงที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาทำงานช่วยเครื่องยนต์ โดยเฉพาะจังหวะเร่งแซง หรือเพิ่มความเร็วอย่างกะทันหัน ซึ่งลักษณะนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์ได้ระดับหนึ่ง
สำหรับ“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” ยังเพิ่มระบบ ECO โหมด และ EV โหมด เหมือนกับรถไฮบริดหลายๆรุ่น อย่าง ECO โหมด ก็จะลดการตอบสนองของเครื่องยนต์ พร้อมจัดการระบบแอร์ หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้ทำงานมากหน่อย (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่) เพื่อการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและกินน้ำมันน้อยที่สุด
ขณะที่โหมด EV จะใช้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนรถเพียงอย่างเดียว โดยวิ่งได้ไม่เกิน 45 กม./ชม. และถ้าเกินจากความเร็วนี้ไป ระบบจะตัดให้เครื่องยนต์ทำงาน อย่างไรก็ตามเราจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าวิ่งเงียบและไม่ง้อเครื่องยนต์ได้ไม่เกิน 2 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่เช่นกัน)
นอกจากเรี่ยวแรงจะมาทันใจ ขับสนุกติดเท้ามากขึ้นแล้ว ในส่วนของช่วงล่างรู้สึกว่าโตโยต้าจะเซ็ทมาหนึบกว่ารุ่นเดิม โดยโครงสร้างด้านหน้าแบบแมกเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังดูอัลลิงก์ การใช้ความเร็วระดับ 100 กม./ชม.ขึ้นไป ไม่ว่าจะทางตรงหรือโค้งยาวรถยังทรงตัวนิ่ง ซึ่งประเด็นนี้เห็นวิศวกรโตโยต้าบอกว่า เฉพาะรุ่นไฮบริดนอกจากจะเซ็ทช่วงล่างใหม่แล้ว ยังเสริมแผ่นรีดลมใต้ท้องรถมาให้ถึง 6 จุด
ตรงนี้พิสูจน์ได้กับการขับเส้นทาง จันทบุรี-ตราด ที่เป็นทางตรงสลับโค้งขึ้น-ลงเขาตลอดเวลา บางช่วงยังมีฝนตกลงมาทักทาย ให้ทัศนวิสัยแย่ แถมถนนลื่น (ระหว่างทางเห็นปิกอัพ-รถบัส ลงไปแช่น้ำข้างทางหลายคัน) แต่สุดท้ายช่วงล่างของ“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” เอาอยู่ทุกสถานการณ์
...แต่ที่จะทำให้ขาดความมั่นใจไปบ้าง เห็นจะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่น้ำหนักเบามือ(เหมือนเดิม) ที่แม้จะไร้อาการแกว่งหรือส่ายเมื่อขับความเร็วสูง แต่โดยส่วนตัวก็อยากให้ปรับความหนืดตามความเร็วของรถขึ้นมาอีกนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่ายรถญี่ปุ่นไม่ค่อยทำกัน
ด้านความปลอดภัยอย่าง ดิสก์เบรก 4 ล้อ เบรกป้องกันล้อล็อก ABSระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA และถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถือเป็นมาตรฐานของ“คัมรี่ ใหม่”ทุกรุ่น แต่ในรุ่นไฮบริดจะเสริม ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบบป้องกันรถไหล HAC มาให้ด้วย
ในส่วนของเบรก ความรู้สึกก็คล้ายๆกับ“คัมรี่ ไฮบริด”รุ่นเก่าและรถไฮบริดทั่วไปคือ เป็นเบรกไฟฟ้าที่จะมีการจำลองแรงต้าน (ไม่หมือนแรงต้านของเบรกไฮดรอลิกทั่วไป) ดังนั้นอาจจะรู้สึกว่า แป้นเบรกแข็งๆ จังหวะกดไม่หน่วงหรือสัมพันธ์กับระยะชะลอหยุด แต่จริงๆแล้วถ้าลองขับไปสักพักจนเคยชิน ระบบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร (จริงๆถ้าขับความเร็วสูง แล้วยกคันเร่งออกมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยหน่วงความเร็วไว้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว)
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมัน กับการขับโหดๆแบบทริปนี้ (กรุงเทพฯ-เกาะช้าง)ยังมีตัวเลขที่หน้าจอแสดงผลไว้ประมาณ 14 กม./ลิตร หรือจากการขับจริงเติมน้ำมันเต็มถัง 65 ลิตร ยังวิ่งกลับมากรุงเทพฯรวมระยะทาง700 กิโลเมตรได้สบายๆ
รวบรัดตัดความ...ระบบไฮบริดของโตโยต้า ขับเนียนไม่มีที่ติอยู่แล้ว ขณะที่ “คัมรี่ ไฮบริด” ยังเปี่ยมด้วยสมรรถนะเร้าใจ แถมช่วงล่างแน่นกว่าเดิม บวกกับออปชันอำนวยความสะดวก และระบบปกป้องปลอดภัย ที่ใส่มาให้ครบชุด (เพราะกั๊กจากรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดามาใส่ตัวนี้หมด)...แม้อาจจะต้องเพิ่มเงินเพื่อรุ่นไฮบริดอีกสักนิด แต่เมื่อซื้อแล้วใช้สบายใจกว่า...งานนี้คงต้องกัดฟันละครับ!
ทั้งนี้ก่อนการลงทุนให้ไทยเป็นฐานผลิต “คัมรี่ ไฮบริด” เป็นประเทศที่ 3 ของโลก หรือเป็นประเทศแรกในเอเชีย โตโยต้าได้วางแผนสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่องว่า รถลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าคืออะไร ตลอดจนข้อดีต่างๆ ทั้งสมรรถนะ การประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ไม่มีข้อเสียในการประชาสัมพันธ์แน่นอน!)
ขณะเดียวกันโตโยต้ายังเดินแผนเรื่องสิทธิพิเศษด้านการลงทุนกับรัฐบาลควบคู่กันไป ทั้งการลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับการผลิตรถไฮบริด และการเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษที่ 10% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในกลุ่มรถยนต์นั่ง ส่งผลให้ราคาขายอยู่ในระดับที่ลูกค้าพอจะเอื้อมถึงได้ (เมื่อเทียบกับรถยนต์นั่งขนาดกลางด้วยกัน)
ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ทำตลาด แม้จะเกิดคำถามมากมายจากผู้บริโภคชาวไทยว่า จะซื้อคัมรี่ ไฮบริดดีหรือไม่? ราคาแบตเตอรี่และค่าดูแลรักษาเป็นอย่างไร? หรือจะเลือกเพียงรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดาก็พอแล้ว? ตลอดจนความคุ้มค่าเมื่อเทียบคู่แข่ง? แต่สุดท้าย ซื้อไป-งงไป “คัมรี่ ไฮบริด” โฉม(เก่า)นี้ ยังทำยอดขายได้กว่า25,000 คัน
...ถือว่าไม่น้อยนะครับ เมื่อดูจากค่าตัวรถระดับล้านกลางๆ
มาถึง “คัมรี่ โฉมใหม่” หรือเจเนอเรชันที่ 5 ของเมืองไทย แต่เป็นเจเนอเรชันที่ 7 ในตลาดโลก โตโยต้าจัดการเปิดตัวพร้อมกันทั้งรุ่นไฮบริด และรุ่นเครื่องยนต์ปกติ 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 มีรถส่งมอบทันทีปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนรุ่นไฮบริดเพิ่งขึ้นไลน์ผลิตหลังสงกรานต์ จึงมีรถพร้อมส่งมอบตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นไป
สำหรับ “คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” จะแต่งรูปพรรณให้ต่างจากตัวเครื่องยนต์ธรรมดาเล็กน้อย ทั้งกระจังหน้าโครเมียม รายละเอียดในโคมไฟ กันชนหน้าและเบ้าของไฟตัดหมอก รวมถึงโลโก้โตโยต้า(หน้า-หลัง)จะรองด้วยพื้นสีฟ้า ส่วนด้านท้ายใช้กรอบโคมไฟ ตลอดจนเส้นสายรายละเอียดไม่ต่างกัน แต่รุ่นไฮบริดมีแปะเอมเบลม HYBRID (มีอยู่ข้างตัวรถด้วย) และ HYBRID SYNERGY DRIVE เพื่อให้รู้ถึงมูลค่าที่จ่ายเงินเพิ่มไป ทั้งยังโดดเด่นเต็มตากับล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 215/55 R17(รุ่น2.5 และ2.0 ใช้ 16 นิ้ว)
ส่วนภายในการจัดวางองค์ประกอบต่างๆคล้ายกัน แต่ที่เห็นได้ชัดคือรุ่นไฮบริดจะใช้ลายไม่สีเข้ม หวังเพิ่มความสปอร์ตขึ้นมาอีกนิด แต่กระนั้นก็จะเน้นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Entry และ Push Start ขณะที่เบาะนั่งแบบ Seat Ventilator จะมีพัดลมส่งผ่านลมจากภายใต้เบาะและพนักพิง เพื่อลดความอับชื้นบริเวณแผ่นหลังและขา
ด้านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันออกแบบใหม่ ฝังปุ่มควบคุมการทำงานของเครื่องเสียง จอแสดงข้อมูลรวม ระบบเชื่อมต่อBluetooth (เฉพาะรุ่น 2.5L HV Navigator และ 2.5L HV DVD) พร้อมช่องเสียบ Aux และ USB
ในรุ่นท็อป HV Navigator (ราคา1,869,000บาท)ที่ผู้เขียนได้ลองขับจะใช้หน้าจอทัชสกรีนขนาด7นิ้ว พร้อมระบบนำทาง แถมใจดีให้ลำโพง JBL มาถึง10 ตัว และพิเศษสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เบาะนั่งสามารถปรับเอนองศาได้เล็กน้อย ทั้งยังมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ม่านไฟฟ้าด้านหลัง ซึ่งติดตั้งมาให้บนที่วางแขนเพื่อเพิ่มความสบายในแบบที่เลือกได้เอง
...ดูเหมือน “คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” ต้องการเอาใจผู้โดยสารด้านหลังเป็นพิเศษครับ เพราะเหนือจากออปชันที่กล่าวมาแล้ว การเข้า-ออกภายในห้องโดยสารด้านหลังยังสะดวกสบาย ด้วยช่องประตูกว้างสอดตัวเข้าไปได้ไม่ยากเย็น แถมมีมือจับที่จะติดอยู่กับเบาะนั่งคู่หน้ามาให้เกาะได้ถนัด ซึ่งจากการลองนั่งของผู้เขียนพบว่าอุปกรณ์และการวางโครงสร้างต่างๆ สามารถเอื้ออำนวยได้อย่างเหมาะสม พร้อมพื้นที่ในห้องโดยสารกว้างขวาง บวกกับการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอกก็จัดการได้อย่างยอดเยี่ยม
ขณะเดียวกันช่วงล่างของ“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่”สามารถซับแรงสะเทือนจากพื้นถนน ที่จะสะท้านมายังเบาะนั่งของผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี...เรียกว่านุ่มสบาย นั่งเพลินได้ตลอดการเดินทาง
เมื่อลองนั่งเป็นผู้โดยสารเรียบร้อย ผู้เขียนจึงหันมาทดสอบสมรรถนะการขับขี่กันบ้าง ตามสเปกครับ “คัมรี่ ไฮบริดใหม่” หันมาใช้ขุมพลัง2.5 ลิตร (เดิม 2.4 ลิตร) โดยเครื่องยนต์ Atkinson Cycle 2AR-FXE DOHC 16 วาล์ว VVT-i ขนาด2,494 ซีซี ให้กำลังสูงสุด160 แรงม้า ที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด213 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงดันไฟฟ้าสูงสุด650 โวลต์ กำลังสูงสุด 148 แรงม้า แรงบิดสูงสุด270 นิวตันเมตรที่ 0 - 1,500 รอบต่อนาที โดยทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังสูงสุดรวม 205 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบE-CVT
โดยจังหวะกดคันเร่งออกตัว แม้จะไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากรุ่นเดิม เพราะยังเป็นกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าเลยความเร็ว 30-40กม./ชม.(ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้า) ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พร้อมสอดประสานให้กำลังอย่างนุ่มนวล ซึ่งการขับขี่รวมๆ ผู้เขียนรู้สึกว่า“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่”มีพลังจัดจ้านพร้อมอัตราเร่งทันอกทันใจมากขึ้น
การขับทางไกลต่างจังหวัดใช้ความเร็วเฉลี่ย 100 - 140 กม./ชม. แน่นอนว่าเครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักเพื่อขับเคลื่อนรถ เหนืออื่นใดจะแอบส่งกำลังไปเจเนอเรเตอร์ให้แปลงเป็นไฟฟ้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตามมีหลายช่วงที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาทำงานช่วยเครื่องยนต์ โดยเฉพาะจังหวะเร่งแซง หรือเพิ่มความเร็วอย่างกะทันหัน ซึ่งลักษณะนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์ได้ระดับหนึ่ง
สำหรับ“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” ยังเพิ่มระบบ ECO โหมด และ EV โหมด เหมือนกับรถไฮบริดหลายๆรุ่น อย่าง ECO โหมด ก็จะลดการตอบสนองของเครื่องยนต์ พร้อมจัดการระบบแอร์ หรือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้ทำงานมากหน่อย (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่) เพื่อการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและกินน้ำมันน้อยที่สุด
ขณะที่โหมด EV จะใช้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนรถเพียงอย่างเดียว โดยวิ่งได้ไม่เกิน 45 กม./ชม. และถ้าเกินจากความเร็วนี้ไป ระบบจะตัดให้เครื่องยนต์ทำงาน อย่างไรก็ตามเราจะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าวิ่งเงียบและไม่ง้อเครื่องยนต์ได้ไม่เกิน 2 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่เช่นกัน)
นอกจากเรี่ยวแรงจะมาทันใจ ขับสนุกติดเท้ามากขึ้นแล้ว ในส่วนของช่วงล่างรู้สึกว่าโตโยต้าจะเซ็ทมาหนึบกว่ารุ่นเดิม โดยโครงสร้างด้านหน้าแบบแมกเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังดูอัลลิงก์ การใช้ความเร็วระดับ 100 กม./ชม.ขึ้นไป ไม่ว่าจะทางตรงหรือโค้งยาวรถยังทรงตัวนิ่ง ซึ่งประเด็นนี้เห็นวิศวกรโตโยต้าบอกว่า เฉพาะรุ่นไฮบริดนอกจากจะเซ็ทช่วงล่างใหม่แล้ว ยังเสริมแผ่นรีดลมใต้ท้องรถมาให้ถึง 6 จุด
ตรงนี้พิสูจน์ได้กับการขับเส้นทาง จันทบุรี-ตราด ที่เป็นทางตรงสลับโค้งขึ้น-ลงเขาตลอดเวลา บางช่วงยังมีฝนตกลงมาทักทาย ให้ทัศนวิสัยแย่ แถมถนนลื่น (ระหว่างทางเห็นปิกอัพ-รถบัส ลงไปแช่น้ำข้างทางหลายคัน) แต่สุดท้ายช่วงล่างของ“คัมรี่ ไฮบริด ใหม่” เอาอยู่ทุกสถานการณ์
...แต่ที่จะทำให้ขาดความมั่นใจไปบ้าง เห็นจะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าที่น้ำหนักเบามือ(เหมือนเดิม) ที่แม้จะไร้อาการแกว่งหรือส่ายเมื่อขับความเร็วสูง แต่โดยส่วนตัวก็อยากให้ปรับความหนืดตามความเร็วของรถขึ้นมาอีกนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่ายรถญี่ปุ่นไม่ค่อยทำกัน
ด้านความปลอดภัยอย่าง ดิสก์เบรก 4 ล้อ เบรกป้องกันล้อล็อก ABSระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA และถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถือเป็นมาตรฐานของ“คัมรี่ ใหม่”ทุกรุ่น แต่ในรุ่นไฮบริดจะเสริม ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบบป้องกันรถไหล HAC มาให้ด้วย
ในส่วนของเบรก ความรู้สึกก็คล้ายๆกับ“คัมรี่ ไฮบริด”รุ่นเก่าและรถไฮบริดทั่วไปคือ เป็นเบรกไฟฟ้าที่จะมีการจำลองแรงต้าน (ไม่หมือนแรงต้านของเบรกไฮดรอลิกทั่วไป) ดังนั้นอาจจะรู้สึกว่า แป้นเบรกแข็งๆ จังหวะกดไม่หน่วงหรือสัมพันธ์กับระยะชะลอหยุด แต่จริงๆแล้วถ้าลองขับไปสักพักจนเคยชิน ระบบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร (จริงๆถ้าขับความเร็วสูง แล้วยกคันเร่งออกมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยหน่วงความเร็วไว้ระดับหนึ่งอยู่แล้ว)
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมัน กับการขับโหดๆแบบทริปนี้ (กรุงเทพฯ-เกาะช้าง)ยังมีตัวเลขที่หน้าจอแสดงผลไว้ประมาณ 14 กม./ลิตร หรือจากการขับจริงเติมน้ำมันเต็มถัง 65 ลิตร ยังวิ่งกลับมากรุงเทพฯรวมระยะทาง700 กิโลเมตรได้สบายๆ
รวบรัดตัดความ...ระบบไฮบริดของโตโยต้า ขับเนียนไม่มีที่ติอยู่แล้ว ขณะที่ “คัมรี่ ไฮบริด” ยังเปี่ยมด้วยสมรรถนะเร้าใจ แถมช่วงล่างแน่นกว่าเดิม บวกกับออปชันอำนวยความสะดวก และระบบปกป้องปลอดภัย ที่ใส่มาให้ครบชุด (เพราะกั๊กจากรุ่นเครื่องยนต์ธรรมดามาใส่ตัวนี้หมด)...แม้อาจจะต้องเพิ่มเงินเพื่อรุ่นไฮบริดอีกสักนิด แต่เมื่อซื้อแล้วใช้สบายใจกว่า...งานนี้คงต้องกัดฟันละครับ!
รุ่น | ราคา/บาท |
Camry 2.0G | 1,299,000 |
Camry 2.5G | 1,499,000 |
Camry Hybrid CD2.5 | 1,649,000 |
Camry Hybrid 2.5 DVD | 1,699,000 |
Camry Hybrid 2.5 Navigator | 1,869,000 |