xs
xsm
sm
md
lg

“น้าเน็ก” ชีวิตนี้จบที่มัสแตง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พิธีกรฝีปากกล้า “น้าเน็ก” เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา ขอทิ้งข่าวการลาวงการบันเทิงไว้เบื้องหลัง วันนี้เปิดใจชวนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องรถในฝัน ด้วยประโยคเด็ดที่ยืนยันหนักแน่น “เรื่องรถยนต์กับผู้ชายยากมากที่จะจบสิ้นลงตัว แต่สำหรับผมมีมัสแตงแล้ว ชีวิตนี้ไม่อยากได้อะไรอีกเลย”

น้าเน็กเล่าว่าจุดเริ่มต้นของความหลงใหล เกิดจากความใกล้ชิดของครอบครัวตั้งแต่สมัยคุณปู่ ซึ่งจะผูกพันกับรถยุโรปและอเมริกันมาตั้งแต่สมัยนั้น จึงเปรียบเสมือนเป็นสารตั้งต้นของแรงบันดาลใจที่มีต่อรถคันโปรด “ฟอร์ด มัสแตง คอนเวอทิเบิล ปี 1965” ในวันนี้

“จุดเด่นของรถคลาสสิกสมัยก่อนมันมีเอกลักษณ์ อย่างประมาณปี 50 จะเน้นความโค้งมน ส่วนปี 60 จะมีความเป็นเหลี่ยมมีคิ้วและสันมากขึ้น ต่อมาในปี 70 จะเริ่มมีรูปร่างใหญ่คล้ายๆ ยาน ส่วนปี 80 ก็จะเน้นรูปทรงเล็กๆ และผมมีความรู้สึกว่าศิลปะในยุค 60 มันสวยที่สุดแล้ว อย่าว่าแต่กับรถที่เป็นตัวแทนศิลปะเลย เสื้อผ้าก็สวย ภาพถ่ายก็สวย ซึ่งมันมาจากขวบปีที่อะไรๆ ก็สวยไปหมดในยุคนั้น แม้ว่าเรื่องรถยนต์กับผู้ชายยากมากที่จะจบสิ้นลงตัว แต่สำหรับผมมีมัสแตงแล้ว ชีวิตนี้ไม่อยากได้อะไรอีกเลย ถือว่าจบแล้ว และที่สำคัญเมื่อมองกันอย่างใจเป็นกลาง ต้องยอมรับว่ารถสมัยนี้มันไม่สวย หน้าตาเหมือนเครื่องดูดฝุ่น เหมือนหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ซึ่งมันเหมือนกันหมดบนท้องถนน”

โดยก่อนหน้านี้พิธีกรผมทองมีหนวดเคยได้ครอบครองมัสแตงมาแล้ว 2 คัน นั่นคือ ฮาร์ดท็อปหรือหลังคาแข็ง ปี 1966 และ ฟาสแบ็กหรือท้ายลาด ปี 1969 และเมื่อมีโอกาสต้อนรับสมาชิกใหม่ คอนเวอทิเบิล ปี 1965 เขาไม่ลังเลที่จะสู่ขอมารวมไว้เป็นอีกหนึ่งคอลเล็คชันส่วนตัวในฐานะแฟนพันธุ์แท้มัสแตง

“คันนี้ได้มาประมาณ 6-7 ปีแล้ว มีคนขายต่อมาให้ในราคา 8 แสนบาท เพราะว่าเหมือนเขาทำแล้วไม่จบสักที ตอนนั้นผมมีสองคันแรกแล้ว และก็อยากเก็บคันนี้ไว้ด้วยก็เลยซื้อมา สภาพไม่ถึงกับเป็นซาก แต่ว่าต้องทำใหม่หมด เพราะของไม่ครบและของที่มีอยู่ก็ไม่สวย เรียกว่าเอามารีบอนด์ใหม่ดีกว่า ต่อมารู้สึกว่าคันนี้หน้าตามันเหมือนกับฮาร์ดท็อปมาก ซึ่งปี 1965 กับ 1966 ก็ห่างกันแค่ปีเดียว ก็เลยตัดสินใจขายฮาร์ดท็อปออกไป และเอาเงินงบประมาณมาทำสองคันที่เหลือให้สมบูรณ์”


เมื่อถามว่าเคยมีรถญี่ปุ่นผ่านมือเข้ามาบ้างหรือไม่ น้าเน็กตอบว่ามากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะด้วยรูปร่างหน้าตาที่ยังเป็นรองรถยุโรปและอเมริกันหลายช่วงตัว รวมถึงได้ให้ใจกับมัสแตงไปหมดแล้วตั้งแต่รู้ตัวว่าหลงใหลรถยนต์อเมริกันรุ่นนี้

“ผมไม่ใช่คนบ้ารถนะ แต่ถ้าชอบอะไรแล้ว ผมจะศึกษาลงรายละเอียดให้ลึก อย่างผมเริ่มเล่นจากกระดาษก่อน ที่บ้านมีหนังสือมัสแตงทุกเล่มที่โลกนี้มี ไม่ว่าจะเป็นแคตตาล็อก สมุดภาพ หรือเป็นนิตยสารของเมืองนอกที่ออกทุกเดือน แรกๆ ก็เอามาอ่านก่อน จากนั้นก็ซื้อพวกหนังสือช่าง คู่มือ เพื่อที่จะได้เข้าใจมัน รู้ระบบการทำงานทุกส่วนของมัน ศึกษาจนถึงขั้นฟังเสียงผิดปกติต้องรู้ว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร สามารถวินิจฉัยขั้นต้นก่อนส่งต่อให้ช่างดูแลได้”

ข่าวลือที่ว่าน้าเน็กสามารถประกอบรถด้วยมือเปล่า? “บางส่วนครับ การดูแลรถยนต์บางส่วนมันต้องใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ขนาดใหญ่ อย่างพวกงานเครื่องยนต์ ตัวถัง พวกนั้นเราทำไม่ได้ เพียงแต่ว่างานบางอย่าง เช่น การดีไอวาย ซึ่งเป็นเนื้อหาจากหนังสือมัสแตงต่างประเทศ พวกฝรั่งค่าแรงมันแพง เขาก็เลยสอนวีธีต่างๆ แบบง่ายๆ ที่เราสามารถทำเองได้”

ตบท้ายด้านพฤติกรรมการขับขี่ แม้ว่าพิธีกรคนนี้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกฝีปากจัดจ้าน แต่ด้านการควบคุมรถยังอ่อนด้อย และมีความเกรงกลัวต่อสภาพแวดล้อมของพื้นถนนประเทศไทยอย่างมาก

“ผมเป็นคนขับรถไม่เร็วครับ ถ้าเทียบกับคนทั่วไป อาจจะเป็นเพราะว่า ความสามารถในการบังคับ ว่าง่ายๆ คือ ผมเป็นคนขับรถไม่เก่ง ไม่ได้อยู่ในระดับความเร็ว 180 กม./ชม. แล้วยังมั่นใจ อย่างผมแค่เกิน 150 กม./ชม. ก็จะเริ่มไม่เชื่อแล้ว ไม่เชื่อในคุณภาพถนนของประเทศเรา ไม่เชื่อในความซวยหากหมาตัดหน้า ไม่เชื่อมอเตอร์ไซค์ ไม่เชื่อกระบะคันข้างๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขับรถแข่งกับใครบนนถนนเลยครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น