เป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วสำหรับค่ายบีเอ็มดับเบิลยูในการเข้าร่วมงานประกวดรถยนต์คลาสสิคริมทะเลสาบโคโม ประเทศอิตาลี พร้อมกับมีของติดไม้ติดมือมาด้วย ซึ่งในปีนี้ บีเอ็มดับเบิลยูร่วมมือกับสำนักออกแบบและผลิตตัวถังอย่างซากาโต้ในการเติมเต็มความสวยและสปอร์ตให้กับโรดสเตอร์อย่างรุ่น Z4 เพื่อให้มีความเร้าใจแบบสุดๆ
รถสปอร์ตรุ่นนี้มีกำหนดอวดโฉมครั้งแรกในรายการ Concorso d'Eleganza Villa d'Este ซึ่งเป็นการประกวดรถยนต์โบราณที่จัดขึ้นในประเทศอิตาลี เพื่อเป็นการสร้างกระแสความน่าสนใจหลังจากที่ในงานเดียวกันนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว บีเอ็มดับเบิลยูเคยเปิดตัวรุ่น M1 Hommage ออกมา
บีเอ็มดับเบิลยูเลือกเอาโรดสเตอร์รุ่นฮ็อตของตัวเองอย่าง Z4 มาเป็นแม่แบบในการพัฒนา และอย่างที่ใครๆ ก็ทราบดีว่า Z4 ใหม่เป็นสปอร์ตเปิดประทุนที่มาพร้อมกับระบบหลังคาแข็งพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า ไม่ใช่สปอร์ตคูเป้มาตั้งแต่เกิด ดังนั้น ในเมื่อได้รับมอบหมายให้เดินหน้าลุยได้อย่างเต็มที่ ทางซากาโต้ก็เลยจับเปลี่ยนจากการสปอร์ตเปิดประทุนมาเป็นสปอร์ตคูเป้หลังคาแข็งแบบยึดตายตัว และ ณ วินาทียังเป็น One-off Model หรือผลิตออกมาเพียงแค่คันเดียวเท่านั้น
แม้รูปแบบและโครงสร้างหลักของตัวรถจะเป็นเปิดประทุน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะซากาโต้ คือ Coachbuilder ชื่อดังของยุโรปอยู่แล้ว การดัดแปลงหรือเพิ่มชิ้นส่วนตัวถังจึงทำได้อย่างสบายๆ เพียงแต่ว่าจะต้องออกแบบอย่างไรให้เข้ากับรูปลักษณ์โดยรวมของตัวรถ รวมถึงการคงเอกลักษณ์ต่างๆ ของบีเอ็มดับเบิลยูเอาไว้อย่างครบถ้วน
พื้นที่ซึ่งซากาโต้สามารถเล่นได้อย่างเต็มที่ในการออกแบบคือส่วนท้าย ซึ่งการดัดแปลงตัวถังให้เป็นคูเป้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะนอกจากความปลอดภัยในขณะใช้งานแล้ว จะต้องทำให้งานออกแบบมีความกลมกลืนกันกับตัวถังที่มีอยู่ และแน่นอนว่าซากาโต้ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะการใช้เส้นสายที่คมกริบในการสร้างสรรค์ตัวรถให้มีความดุดันขึ้นมาจาก Z4 รุ่นปกติอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสปอยเลอร์หลังแบบเชิดขึ้นอันเป็นเอกลักษณ์ของรถสปอร์ตคูเป้จากซากาโต้ที่เรียกว่า Kamm Tail ขณะที่หลังคาก็มากับสไตล์ Doucle Bubble ซึ่งมีลักษณะนูนขึ้นเหมือนกับมีฟองอากาศ 2 ฟองวางต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของสมรรถนะตัวรถและเครื่องยนต์ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้ แต่คาดว่าไม่น่าจะมีการโมดิฟายอะไรเพิ่มเติม
ความสัมพันธ์ระหว่างบีเอ็มดับเบิลยูกับซากาโต้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมาตั้งแต่ปี 1939 ซึ่งซากาโต้มีส่วนในการช่วยพัฒนารถสปอร์ตที่เป็นรุ่นคูเป้ ซึ่งอิงอยู่บนพื้นฐานของรุ่น 328 สำหรับใช้ในการแข่งขันรายการ Mille Miglia จากนั้นในปี 1954 บีเอ็มดับเบิลยูก็ซื้อตัวเรนโซ ริโวลต้า นักออกแบบของซากาโต้ และเป็นผู้ก่อตั้ง ISO ขึ้นมา เพื่อออกแบบรถยนต์สำหรับคนเมืองรุ่นคลาสสิคอย่าง Isetta
บีเอ็มดับเบิลยูกับครอบครัวริโวลต้านั้นดำเนินกันมาอย่างต่อเนื่อง และกลับมามีความแนบแน่นอีกครั้งในอีก 60 ปีถัดมาเมื่อมาเรลล่า ริโวลต้า ภรรยาชองแอนเดรีย ซากาโต้เข้ามารับงานในการเลือกใช้ลวดลาย และโทนสีสำหรับภายในห้องโดยสารของรถยนต์บีอ็มดับเบิลยู
สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันเพื่อสร้างผลงานในการจัดแสดงงานประกวดรถยนต์โบราณ และเผยโฉมเป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งต้นแบบรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อการจัดแสดงบนเวทีประกวดรถยนต์โบราณเท่านั้น แต่ Made for the road หรือผลิตมาเพื่อให้สามารถแล่นได้จริง ส่วนจะมีขายจริงด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอดูกันต่อไป