สมาร์ทเทคฟิล์มฯ รุกธุรกิจฟิล์มกรองแสงมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท เต็มสูบ ครึ่งปีหลังเปิดโครงการ Smarttec Bright วางกลยุทธ์ครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งจับมือภาครัฐสร้างแรงงานช่างติดตั้งฟิล์มเข้าสู่ระบบ หลังพบผู้ประกอบการขาดแรงงานที่มีทักษะกว่า 50,000 ราย ด้านแผนธุรกิจ เตรียมนำเทคโนโลยีตัดฟิล์มด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์มาพัฒนาสินค้า พร้อมเปิดตัว E-S3 ฟิล์มรุ่นใหม่ที่ตัดแบบสำเร็จรูปตามรุ่นรถ เจาะตลาดรถยนต์ใหม่ป้ายแดงโดยเฉพาะ เปิดเกมมัดใจดีลเลอร์ 700 รายทั่วประเทศ ระดมจัดกิจกรรมโรดโชว์ลงพื้นที่กว่า 30 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯและตจว. ผลักดันยอดขายปีนี้ 150 ล้านบาท
นาย ไพรัตน์ แก้วอุดม ผู้จัดการอาวุโส บริษัท สมาร์ทเทค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายและติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์ และฟิล์มติดอาคาร ภายใต้แบรนด์สินค้า “Smart Tec” เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯได้วางแผนรุกตลาดฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์เต็มรูปแบบ ภายใต้โครงการ “Smarttec Bright” พร้อมทั้งทำโครงการ CSR คืนกำไรสู่สังคมอย่างจริงจังในรูปแบบการสร้างงานให้ผู้ว่างงาน โดยจับมือภาครัฐร่วมกันสร้างช่างติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ที่มีฝีมือ ทักษะ และมีความรู้เกี่ยวกับฟิล์มกันความร้อน ป้อนสู่ภาคธุรกิจ ที่ปัจจุบันประสบปัญหาขาดช่างที่มีคุณภาพอย่างมาก โดยประมาณการณ์ทั่วประเทศมีผู้ประกอบการร้านติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์กว่า 5,000 ราย แต่มีช่างที่มีทักษะประมาณ 20,000 คน คิดเป็นอัตราแค่ 30% เท่านั้น ขณะที่ผู้ประกอบการต้องการช่างเข้าสู่ภาคธุรกิจนี้อีกกว่า 50,000 คน สำหรับโครงการฝึกอบรมช่างกับภาครัฐนี้จะเป็นการร่วมมือของ ศูนย์อบรมช่างติดตั้งฟิล์มกรองแสงสมาร์ทเทค ซึ่งรายละเอียดอยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าจะเปิดตัวภายใน 2 เดือนนี้
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีนี้ จะเปิดเชิงรุกเต็มรูปแบบ ภายใต้โครงการ Smarttec Bright ด้วยเงินลงทุนกว่า 20 ล้านบาท ทั้งการพัฒนาสินค้า ลงทุนด้านเทคโนโลยีและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงการผลิตสื่อรายการทีวีดาวเทียม เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องร่วมกับสมาคมฟิล์มฯ รวมถึงกลยุทธ์มัดใจดีลเลอร์ กว่า 700 รายทั่วประเทศ ในรูปแบบจัดกิจกรรมโรดโชว์ทั่วประเทศกว่า 30 ครั้ง พร้อมกันนี้ได้มีแผนเจาะช่องทางการทำตลาดร่วมกับโชว์รูมรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ เพื่อให้โชว์รูมและผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
ด้านการผลิตได้นำเทคโนโลยี Software Cut เข้ามาช่วยเสริม ซึ่งจะทำให้ลดการใช้คัตเตอร์ตัดที่กระจกเกือบ 100% ภายใต้รุ่น “E-S3” ซึ่งมีความหมายคือ E = Easy ที่ทำให้คุณง่ายสำหรับการติดตั้ง เพราะฟิล์มจะถูกตัดเป็นชิ้นตามยี่ห้อและรุ่นของรถแล้ว จึงสามารถลอกแผ่นฟิล์มไปติดตั้งบนกระจกได้ทันที S = Smart ด้วย Software ที่แม่นยำทำให้ชิ้นฟิล์มที่ออกมา สวยงาม เข้ารูป S = Save ประหยัดและหมดปัญหาเรื่องเศษฟิล์มคงเหลือ อีกทั้งง่ายในการบริหารจัดการสต๊อกสินค้า Safety ลดโอกาสในการเกิดความเสียหายจากรอยมีดบนกระจกหรือยางขอบกระจกขาด ซึ่ง SmartTec E-S3 เหมาะสำหรับโชว์รูมรถยนต์และดีลเลอร์ที่ให้บริการติดตั้งกับโชว์รูมรถยนต์ทั่วประเทศ
ขณะที่ด้านการส่งเสริมการขายนั้น บริษัทฯให้ความสำคัญกับช่องทางสื่อใหม่ๆ โดยเฉพาะ Social network รวมถึงผลิตรายการสมาร์ทวาไรตี้ รายการท่องเที่ยว รถยนต์ ในรูปแบบพาเที่ยวแบบชิวชิวและให้ความรู้เรื่องการใช้รถ โดยออกอากาศทางทีวีดาวเทียวช่อง มีเดียส์ ชาแนล ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.00 - 11.00 น. นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขายให้กับดีลเลอร์ ในรูปแบบการจัดโรดโชว์ลงพื้นที่กว่า 30 แห่งทั่วประเทศ และในพื้นที่กรุงเทพฯนั้นได้มีกิจกรรม ณ จุดขายห้างสรรพสินค้า และตึกออฟฟิคบิวดิ้งด้วย โดยบริษัทได้ใช้เงินลงทุนในด้านกิจกรรมส่งเสริมการขาย การโฆษณาประชาสัมพันธ์และวางแผนสื่อทั้งหมดกว่า10ล้านบาท
นายไพรัตน์ แก้วอุดม กล่าวต่อว่า ธุรกิจฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ในปีนี้แข่งขันสูงมาก มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เจาะเซ็กเม้นท์ลูกค้ามากขึ้น รวมถึงแข่งกันขยายสาขาร้านบริการในต่างจังหวัด ยึดหัวหาดเมืองใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ โดยปีนี้ตลาดรวมฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์มีมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท หรือประมาณ 60 ล้านตารางฟุต แบ่งเป็นตลาดรถใหม่ 950,000 คัน ปริมาณใช้ฟิล์ม 47.5 ล้านตารางฟุต ตลาดรถเก่า+รถมือสอง 250,000 คัน ปริมาณใช้ฟิล์ม 12.5 ล้านตารางฟุต โดยเฉลี่ยรถหนึ่งคันใช้ฟิล์ม 50 ตารางฟุต ด้านส่วนแบ่งการตลาดของฟิล์มแต่ละประเภทนั้นจะแบ่งเป็นฟิล์มกรองแสงลดความร้อนประเภทสีผสมกาว 30% ฟิล์มกรองแสงลดความร้อนประเภทฟิล์มสี 20% ฟิล์มกรองแสงลดความร้อนประเภทเคลือบอนุภาคโลหะ 40% และฟิล์มกรองแสงลดความร้อนประเภทนาโนเทคโนโลยี 10%
ส่วนฟิล์มสำหรับติดอาคารทางบริษัทฯมุ่งเน้นในการให้ความรู้ความเข้าใจในการเลือกฟิล์มสำหรับติดอาคารอย่างถูกวิธี โดยจะใช้กลยุทธ์แบบปากต่อปาก คือ คัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพสูงและการให้บริการที่เหนือชั้น จนลูกค้าต้องบอกต่อ ซึ่งปัจจุบัน ทาง บริษัทฯ ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งหน่วยงานราชการและเอกชน เช่น โรงพยาบาลพระมงกุฎ,มหาวิทยาลัยรังสิต, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, Pullman Hotel, Honda R&D Asia Pacific Co.,Ltd., วุฒิศักดิ์ คลีนิค กรุ๊ป จำกัด(มหาชน),อำพลฟู๊ด เป็นต้น
ทั้งนี้บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายการทำตลาดผลักดันยอดขายปีนี้ที่ 150 ล้านบาท มีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 10% เติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 30% ด้านโครงการ CSR นั้นจะช่วยสร้างงาน สร้างเงินแก่ผู้ว่างงาน ร่วมทั้งมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาแรงงานที่ขาดในระบบอีกด้วย พร้อมทั้งเปิดโอกาสสร้างช่างผู้หญิงเข้าสู่ตลาดเป็นรายแรกของวงการ