ข่าวในประเทศ-เดินหน้าก้าวสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง “วอลโว่” ชูกลยุทธ์เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน 5 ด้าน ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ใหม่ แบรนด์ และเครือข่ายการขาย โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่เตรียมนำเข้ามาเสริมทัพให้ครบเซกเมนต์ เผยในช่วงไตรมาสแรกปี 2555 เปิดตัว “วอลโว่ วี60” สปอร์ตแวกอนใหม่ มาเสริมทัพเก๋งซีดานขนาดกลาง “วอลโว่ เอส60” ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ที่ผ่านมา เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายกว้างขึ้น จากปัจจุบันรุ่น “วี50” จะมุ่งไปที่คนรุ่นใหม่เป็นหลัก มั่นใจจะผลักดันให้ยอดขายปีหน้าบรรลุ 1,600 คัน ทุบสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 ยืนยันให้ความสำคัญกับเรื่องลดปัญหามลพิษ ตามโครงการ “DRIVe” ประกาศรุกรถพลังงานทดแทนต่อเนื่อง แย้มอนาคตหากทุกอย่างพร้อม ยืนยันจะนำรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด มาทำตลาดแน่นอน
นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ตลาดรถยนต์ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก บางรายก็เติบโตแบบฉุดไม่อยู่ จากการเข้ามาของบริษัทแม่ และใช้ไทยเป็นฐานการผลิต ขณะที่บางยี่ห้อกลับไม่สามารถฟื้นได้ และถูกคู่แข่งเบียดแทรกขึ้นมา “วอลโว่” เป็นอีกค่ายที่อยู่ในชะตากรรมดังกล่าว ในช่วง 14 ปี หลังจากภาวะฟองสบู่แตก วอลโว่เคยทำยอดขายสูงสุด 1,500 คันในปี 2547 แต่หลังจากนั้นก็ลดลงเรื่อยๆ เพิ่งกลับมาฟื้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากการเปิดตัวโฉมใหม่ และการออกแบบรถที่ทันสมัยขึ้น ทำให้วอลโว่มั่นใจว่าในปี 2554 นี้จะกลับมาทำตัวเลขยอดขายสูงสุดอีกครั้ง...
“เมื่อต้นปีวอลโว่ตั้งเป้าขายไว้ที่ 1,500 คัน เท่ากับสถิติการขายสูงสุดในปี 2547 และพอผ่านสามไตรมาสแรกของปีนี้ ทิศทางยังคงน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยทำยอดขายได้ 950 คัน แต่เมื่อเกิดเหตุอุทกภัยในเดือนกันยายน ต่อเนื่องตลอดไตรมาส 4 ทำให้ตลาดรถยนต์โดยรวมได้รับผลกระทบ วอลโว่เองก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงปรับลดเป้าหมายการขายปีนี้เหลือ 1,200 คัน แต่ยังถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมาที่ทำได้ประมาณ 1,000 คัน”
ฉันทนา วัฒนารมย์ ประธานบริษัท วอลโว คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและเสริมว่า ส่วนสำคัญที่ทำให้ปีนี้วอลโว่มียอดขายเติบโตอยู่มาจากตลาดกลับมาคึกคักในช่วงงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยวอลโว่มียอดจองในงานถึง 184 คัน จากที่คาดว่าจะมียอดจองประมาณ 100 คันเท่านั้น
ทั้งนี้ หากไม่เกิดเหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปีนี้ ฉันทนาเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำยอดขายเทียบเท่ากับปี 2547 แน่นอน เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองลูกค้าได้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและสมรรถนะการขับขี่ที่วอลโว่ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วอลโว่ยังได้เพิ่มการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้มีความสง่างาม ลงตัว และทันสมัยอย่างมีรสนิยม เรียกว่า Scandinavian Design เมื่อผนวกกับการพัฒนารถให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้ตามต้องการ จึงทำให้รถวอลโว่เป็นที่ยอมรับ และส่งผลต่อยอดขายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
“สำหรับในปี 2555 วอลโว่เชื่อมั่นว่าตลาดรถยนต์ในภาพรวมจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะไทยจะเผชิญวิกฤตอะไร อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเสมอ โดยในส่วนของวอลโว่มั่นใจในปีหน้า จะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1,600 คัน ซึ่งเป็นการทำสถิติมากกว่าในปี 2547 ด้วย” ฉันทนากล่าวและว่า
โดยปัจจัยการเติบโตดังกล่าว มาจากกลยุทธ์เน้นความสามารถในการแข่งขัน 5 ด้าน ได้แก่ อันดับแรกลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ ระบบความปลอดภัยที่เหนือล้ำกว่าคู่แข่ง และความสะดวกสบายต่างๆ พร้อมกับเตรียมเปิดพอร์ตรถใหม่ให้ครบเซกเมนต์ และต่อมาเน้นเพิ่มรถพลังงานทดแทน เพื่อเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภค อย่างรถยนต์ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 ขณะเดียวกันยังคงเป็นผู้นำเทคโนโลยีความปลอดภัยที่แตกต่างและโดดเด่นอยู่เสมอ และสุดท้ายเข้าหากลุ่มเป้าหมายกว้างขึ้น ผ่านช่องทางหลากหลายทันยุคสมัย โดยเฉพาะปัจจุบันที่เป็นยุคดิจิตอล และโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อให้ลูกค้าสามารถใกล้ชิดกับแบรนด์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ฉันทนาบอกว่า สำหรับเรื่องการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ และเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น โดยล่าสุดในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 ที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัว “วอลโว่ เอส60” (Volvo S60) รถยนต์นั่งซีดานขนาดกลาง ที่มากับรหัส “DRIVe” สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 (E85) ได้ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของวอลโว่ที่มีเป้าหมายลดปริมาณไอเสียให้น้อยที่สุด จนเหลืออัตราเป็นศูนย์ในอนาคต นั่นหมายความว่าจะต้องเป็นรถ EV หรือรถพลังงานไฟฟ้า
วอลโว่ เอส60 เป็นรถซีเคดี(CKD) จากมาเลเซีย นำเข้าภายใต้กรอบข้อตกลงอาฟตา(AFTA) จึงทำให้ราคาเคาะออกมาเริ่มต้น 1.899 ล้านบาท และสูงสุด 2.149 ล้านบาท โดยติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว 1.6 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 1,600-5,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch Power Shift 6 จังหวะ ปรับตามสไตล์การขับขี่และเกียร์ทรอนิก อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากการเปิดเผยของโรงงงานทำได้ในเวลา 9 วินาที
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ภายในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 วอลโว่ในประเทศไทยเตรียมจะเสริมไลน์ผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมอีก โดยจะเปิดตัว “วอลโว่ วี60” (Volvo V60) เข้ามาเป็นอีกทางเลือก ซึ่งถือเป็นกลุ่มรถอเนกประสงค์ที่กำลังมีการขยายตัว ดังจะเห็นได้จากยอดขายของวอลโว่ เอ็กซ์ซี90, เอ็กซ์ซี60 และวี50 ที่ครองยอดขายอันดับหนึ่งของตลาดเอสยูวี และเอสเตท
สำหรับวอลโว่ วี60 เป็นรถแบบสเตชันแวกอน หรือเอสเตท(Estate) ที่จะมาเสริมทัพให้ วอลโว่ วี50 ซึ่งจะมีฐานกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ หรือ Young Executive แต่ในรุ่นวี60 จะขยายไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น โดยรถที่นำเข้ามาทำตลาดนำเข้าจากประเทศมาเลเซียเช่นกัน ราคายังไม่สรุปชัดเจน แต่น่าจะไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่รุ่นวี50 ราคาอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านบาท
วอลโว่ วี60 ได้รับการออกแบบให้เป็นรถสปอร์ตแวกอน ด้วยเส้นสายที่มีความสปอร์ตเช่นเดียวกับรุ่นซีดาน วอลโว่ เอส60 ที่ออกแบบเหมือนกับรถคูเป้ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกหลากหลายเช่นเดียวกัน ตั้งแต่เบนซินขนาด 1.6 ลิตร 150 แรงม้า ไปจนถึงเครื่องยนต์เทอร์โบ 3.0 ลิตร 304 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร 115 แรงม้า เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 163 แรงม้า และ 2.4 ลิตร 205 แรงม้า แต่หากดูจากการทำตลาดรุ่นซีดาน เบื้องต้นวอลโว่น่าจะเลือกเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เช่นเดียวกับรุ่นเอส60 ที่เพิ่งเปิดตัวทำตลาดในไทย
“ทิศทางของวอลโว่ในไทย กลยุทธ์หนึ่งจะเน้นเรื่องของพลังงานทดแทน ณ ปัจจุบันคงมองไปที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี85 ซึ่งเป็นตามโครงการ DRIVe ของบริษัทแม่วอลโว่ คาร์ฯ และหากต่อไปมีการทำตลาดรถปลั๊กอินไฮบริดเป็นทางการ และมีความชัดเจนในเรื่องของสมรรถนะการใช้งาน อนาคตในไทยก็พร้อมที่จะนำเข้ามาทำตลาดเช่นกัน” ฉันทนากล่าว
ขณะที่เครือข่ายการขายในไทย ปัจจุบันวอลโว่มีโชว์รูมทั้งหมด 4 แห่ง และเฉพาะศูนย์บริการอีก 2 แห่งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดมีอยู่ที่เชียงใหม่, ขอนแก่น, ชลบุรี, นครปฐม, หาดใหญ่ และภูเก็ต โดยฉันทนาบอกว่าจะไม่มีการเปิดรับดีลเลอร์เพิ่ม แต่จะให้โอกาสรายเดิมในการขยายโชว์รูมแทน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการเพิ่ม 2-3 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงในเขตกรุงเทพมหานคร
จากกลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งตัวผลิตภัณฑ์ แบรนด์ และเครือข่ายการขาย เป้าหมายการขายปี 2555 จำนวน 1,600 คัน จึงไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ยกเว้นจะมีเหตุการณ์วิกฤตนอกเหนือการควบคุม อย่างภัยธรรมชาติ และโดยเฉพาะเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจยุโรป ที่อาจจะลุกลามกลายเป็นวิกฤตไปทั่วโลกได้
แต่ถ้าทุกอย่างเป็นปกติ ฉันทนาบอกว่า… ในเร็วๆ นี้อาจเห็นตัวเลข 2,000 คันต่อปี เหมือนเช่นยุคเฟื่องฟูก่อนเหตุการณ์วิกฤตต้มยำกุ้งก็ได้?!!