สำหรับงานมอเตอร์โชว์ที่มีความยิ่งใหญ่ทั้งในแง่ของพื้นที่จัดแสดง และชื่อชั้นของงาน โดยแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการตามสำเนียงอังกฤษว่า IAA-ไอเอเอ ถือเป็นงานโชว์ชั้นนำของโลก และในปีนี้มีความพิเศษตรงที่จัดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการครบรอบ 10 ปีของเหตุการณ์ 9/11 อีกด้วย
ใครที่เคยมีประสบการณ์คงจำได้ดีสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์เมื่อปี 2001 หรือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกฝากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับรอบสื่อมวลชนของงานในปีนั้น สำหรับค่ายที่มีความเกี่ยวพันกับประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างฟอร์ด, จีเอ็ม และไครสเลอร์ (ที่ยังทำตลาดยุโรปในตอนนั้น) ต่างปิดไฟ และปราศจากผู้คน เหมือนกับยังไม่พร้อมจัดแสดง จนทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ก่อนทุกอย่างจะได้รับการเฉลยเมื่อเดินมาถึง Press Room
กลับมาที่เรื่องราวและบรรยากาศของงานกันต่อ สำหรับในปีนี้ แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 64 และยังคงคอนเซปต์เดิมของการจัดงานเหมือนกับที่ผ่านมา คือ เป็นงาน 2 ปีครั้งและจัดเฉพาะปีค.ศ.ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ ส่วนสถานที่จัดงานก็ยังคงเหมือนเดิม คือ แมสเซ แฟรงค์เฟิร์ต ที่มีความกว้างใหญ่ไพศาล ชนิดที่ใครที่ออกไปทำข่าวครั้งแรกและเจอกับสถานที่จริงอาจจะท้อเอาง่ายๆ
ส่วนใครที่เคยพิชิตพื้นที่มาแล้วด้วยการเดินจนครบทุกฮอลล์พร้อมกับแบกกองเอกสารข่าวหนักๆ (เมื่อก่อนยังไม่มีแจก CD หรือ Handy Drive) ตลอด 2 วันของ Press Day ต้องบอกว่าบรรลุจุดสูงสุดแห่งความอึดในอาชีพนักข่าวสายมอเตอร์โชว์กันเลยทีเดียว
โดยงานในปีนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ 15-25 กันยายน ที่ผ่านมา ส่วนรอบนักข่าวก็เริ่มก่อนหน้านั้น 2 วัน
ในแง่ของรถยนต์ใหม่ที่มีการเปิดตัวและจัดแสดงในงานนี้ มีเยอะเหมือนกัน และสิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ถูกใจคนไทยมากกว่างานอื่นๆ อย่างดีทรอยต์ หรือแม้แต่โตเกียวที่ดูแล้วน่าจะสอดคล้องกับคนไทยมากที่สุด เห็นจะเป็นเรื่องของ ‘โอกาส’ ที่รถยนต์ซึ่งเปิดตัวในงานจะมีเข้ามาขายในบ้านเรา
ไม่ได้บอกว่าโอกาสที่ว่าจะเป็น 100% แต่เมื่อเทียบกับดีทรอยต์ และโตเกียวแล้ว โอกาสของผลผลิตที่อยู่ในแฟรงค์เฟิร์ตจะเข้ามาโลดแล่นนั้นสูงกว่า 2 งานนั้นแน่นอน แม้ว่าอาจจะไม่ครบทุกคัน แต่ต้องบอกว่า ‘เป็นส่วนใหญ่’
แน่นอนว่าปริมาณรถยนต์ที่เป็น Regional Model หรือรุ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อภูมิภาคนั้นๆ ยังมีให้เห็น แต่โมเดลส่วนใหญ่ที่ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปนำมาจัดแสดงนั้น มักจะมีการนำออกไปขายในตลาดแห่งอื่นๆ ของโลกด้วย อย่างน้อยกับ 3 แบรนด์ระดับหรูอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์, ออดี้ และบีเอ็มดับเบิลยู คงไม่ลงทุนพัฒนารถยนต์ขึ้นมาสักรุ่นเพื่อตลาดแห่งใดแห่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ในแง่ของรถยนต์ใหม่ที่นำมาจัดแสดง ใครที่ชอบประเด็นนี้บอกได้คำเดียวว่าไม่ผิดหวัง เพราะทุกค่ายที่หอบหิ้วรถยนต์ของตัวเองมาออกพื้นที่ในงานนี้ล้วนแล้วแต่จะต้องมีของใหม่มาประดับเวที เอาเป็นว่าหาค่ายที่ไม่มีรถใหม่มาเปิดตัวยังยากกว่าเสียอีก และส่วนที่เป็นไฮไลต์ของงานก็คงหนีไม่พ้นผลผลิตที่มาจากแบรนด์เจ้าถิ่น เพราะทุกค่ายต้องมีของใหม่อย่างน้อย 1 รุ่นมาจัดแสดง
โดยค่ายที่เด่นในแง่ของปริมาณเห็นจะเป็นโฟล์คสวาเกน เพราะนอกจากต้นแบบรุ่น NILS แล้ว ก็หันมาผลิตเวอร์ชันต่างๆ ของซิตี้คาร์รุ่น UP! ออกมาเพียบ ทั้งต้นแบบในสไตล์ตัวลุยทะเลทรายหรือ Buggy ตามด้วยเวอร์ชันพลังไฟฟ้าที่จะผลิตขายในปี 2013 ส่วนนิวบีเทิลเองก็พร้อมลุยตลาดด้วยเวอร์ชันพลังแรงอย่าง R เพียงแต่ว่าจำนวนม้าในคอกเพียง 200 ตัวดูเหมือนจะน้อยไปหน่อยเมื่อเปรียบเทียบกับรหัส R ของซิร็อคโค่ และกอล์ฟ
ทางฝั่งเอเชีย ความน่าสนใจมีอยู่ด้วยกันหลายค่าย และที่หนีไม่พ้นคือ โตโยต้ากับโครงการ FT-86 ซึ่งในตอนแรกบอกว่าน่าจะเป็นคันขายจริงแล้ว แต่ดูเหมือนว่าก็ยังไม่ได้ข้อสรุปสักที เพราะที่เห็นอยู่นี้ก็ยังเป็นต้นแบบแต่สีใหม่เท่านั้นเอง ขณะที่ฮอนด้า ซีวิคเป็นโฉมใหม่ก็จริง แต่ก็เป็น EU Version ตัวถังแฮทช์แบ็ก ไม่มีขายในบ้านเรา ส่วนซูบารุมากับเอสยูวีรุ่นใหม่ในรหัส XV ซึ่งความจริงแล้วก็คือ การต่อยอดด้วยการนำเอาอิมเพรซา แฮทช์แบ็กมายกสูง และในบ้านเราจะเปิดตัวปลายปีนี้ และขายปีหน้ากับราคาน่าจะอยู่ในช่วงล้านนิดๆ
ส่วนแบรนด์เกาหลีดูเหมือนว่าจะยังเดินหน้ารุกหนักเช่นเคย ทั้งฮุนไดกับการเปิดตัวรุ่นใหม่ของ i30 ตามด้วยเวโลสเตอร์รุ่นพิเศษ ส่วนเกียก็มีทั้งสปอร์ตต้นแบบรุ่น GT ที่กะปัดฝุ่นนำยุครถสปอร์ตเครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังกลับมา แล้วก็รุ่น 3 ประตูของพิแคนโต้
นอกจากนั้น งานนี้ถือเป็นการกลับมาลุยตลาดยุโรปอีกครั้งของแบรนด์ไครสเลอร์ ซึ่งในปัจจุบันบริหารงานโดยเฟียต ซึ่งนอกจากการออกบู๊ธเองแล้ว ไครสเลอร์ยังรุกตลาดยุโรปผ่านทางผลผลิตที่ถูกหยิบยืมมาแปะโลโก้ของแลนเซียเพื่อขายในยุโรป เช่นรุ่น 200 เปิดประทุนก็ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นแลนเซีย ฟุลเวีย และรุ่น 300 ก็เปลี่ยนมาเป็นแลนเซีย เธมา
แต่ท้ายสุดก็ไม่รู้ว่าแนวทางนี้จะยังได้ผลหรือเปล่า