ขาดไม่ได้สำหรับคนที่ชื่นชอบความสปอร์ตในแบบกะทัดรัดที่เน้นความคล่องตัวด้วยตัวถังที่ไม่ใหญ่ แต่เร้าใจในการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์บล็อกใหญ่ ชนิดกดคันเร่งแล้วไม่ต้องรอนาน ม้ามาทันที เมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์เผยโฉม Top of the line หรือรุ่นทั้งแรงทั้งหรูสุดในสายพันธุ์ SLK ออกมาแล้ว โดยใช้ชื่อในการทำตลาดว่า SLK55AMG กับเครื่องยนต์วี8 5500 ซีซี
ตรงนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาตลอดตั้งแต่รุ่นแรกในรหัส SLK32AMG เมื่อปี 2001 จนถึงรุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ของ SLK และได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองการขับตามคอนเซปต์ที่ว่า Driving Performance ที่ทาง AMG วางเอาไว้ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะสมรรถนะทั้งตีนต้นและตีนปลายที่เร้าใจ ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ถูกล็อกเอาไว้แค่เท่านี้ตามที่กฎหมายกำหนด)
เครื่องยนต์วี8 ของ AMG ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย AMG Performance 2015 ซึ่งหันมาใส่ใจในเรื่องของการพัฒนาเครื่องยนตจ์ที่จะต้องทั้งแรง ประหยัดน้ำมันแบบสมเหตุสมผล และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคต AMG จะต้องเจองานหนักที่ท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับทั้งในด้านมาตรฐานไอเสียและความประหยัดน้ำมันของภาครัฐที่มีความเข้มงวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขุมพลังบล็อกนี้มีรหัส M152 ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น M157 ตัวเครื่องยนต์วี8 มีความจุ 5500 ซีซี พร้อมหัวฉีดแรงดันสูงในระดับ 2,900 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว พร้อมกับออกแบบฝาสูบ ท่อร่วมไอดี และระบบวาล์วใหม่ ขณะที่อัตราส่วนการอัดอยู่ที่ 12.6 : 1 และเครื่องยนต์สามารถหมุนได้รอบสูงสุดเกิน 7,000 รอบ/นาที มีกำลังสูงสุด 415 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.8 กก.-ม.
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเครื่องยนต์บล็อกนี้ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเน้นในเรื่องของความประหยัดน้ำมัน เช่นระบบ Cylinder Management ซึ่งจะมีการลดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ จากเดิม 8 สูบเหลือเพียง 4 สูบ ซึ่งผู้ขับจะต้องกดปุ่มเลือกโหมด C หรือ Controlled Efficiency จากนั้นเครื่องยนต์ก็จะทำงานเองไม่ว่าจะแล่นหรือจอดอยู่ และเมื่อต้องการยกเลิกระบบนี้ก็กดปุ่มสั่งงานได้ทันที ส่วนอีกระบบที่ถูกนำมาติดตั้งคือ Auto Start/Stop ซึ่งจะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ เพื่อความประหยัดน้ำมันเหมือนกับรถยนต์ไฮบริด
หน้าที่ในการส่งกำลังยังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ 7 จังหวะ ที่เรียกว่า AMG Speedshift 7G-Tronic มีให้เลือก 3 โหมดด้วยกัน คือ C-Controlled Efficiency เน้นความประหยัด, S-Sport เน้นความสปอร์ต และ M-Manual ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้เอง
ในเรื่องของหน้าตา แน่นอนว่าแตกต่างจากรุ่นปกติอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชุดสเกิร์ตรอบคันที่ได้รับการออกแบบจาก AMG ซึ่งนอกจากจะให้ความสวยแล้ว ยังมีประโยชน์ใช้สอยอีกด้วย โดยเฉพาะการสร้างแรงกดบนตัวถังเพื่อการทรงตัวที่ดีในขณะแล่นด้วยความเร็วสูง ขณะที่ดิสก์เบรกก็ถูกขยายเพื่อรับมือกับการขจัดม้าฝูงโต ในด้านหน้ามีขนาด 14.2X1.4 นิ้ว และด้านหลัง 13.0X0.9 นิ้ว
ทิ้งท้ายสำหรับใครที่สนใจก็เก็บเงินรอเอาไว้ก่อนได้เลย เพราะว่าการส่งมอบรถในยุโรปจะเริ่มขึ้นในช่วงต้นปีหน้า
ตรงนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาตลอดตั้งแต่รุ่นแรกในรหัส SLK32AMG เมื่อปี 2001 จนถึงรุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ของ SLK และได้รับการพัฒนาให้ตอบสนองการขับตามคอนเซปต์ที่ว่า Driving Performance ที่ทาง AMG วางเอาไว้ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะสมรรถนะทั้งตีนต้นและตีนปลายที่เร้าใจ ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ถูกล็อกเอาไว้แค่เท่านี้ตามที่กฎหมายกำหนด)
เครื่องยนต์วี8 ของ AMG ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย AMG Performance 2015 ซึ่งหันมาใส่ใจในเรื่องของการพัฒนาเครื่องยนตจ์ที่จะต้องทั้งแรง ประหยัดน้ำมันแบบสมเหตุสมผล และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคต AMG จะต้องเจองานหนักที่ท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับทั้งในด้านมาตรฐานไอเสียและความประหยัดน้ำมันของภาครัฐที่มีความเข้มงวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขุมพลังบล็อกนี้มีรหัส M152 ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น M157 ตัวเครื่องยนต์วี8 มีความจุ 5500 ซีซี พร้อมหัวฉีดแรงดันสูงในระดับ 2,900 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว พร้อมกับออกแบบฝาสูบ ท่อร่วมไอดี และระบบวาล์วใหม่ ขณะที่อัตราส่วนการอัดอยู่ที่ 12.6 : 1 และเครื่องยนต์สามารถหมุนได้รอบสูงสุดเกิน 7,000 รอบ/นาที มีกำลังสูงสุด 415 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 50.8 กก.-ม.
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเครื่องยนต์บล็อกนี้ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเน้นในเรื่องของความประหยัดน้ำมัน เช่นระบบ Cylinder Management ซึ่งจะมีการลดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ จากเดิม 8 สูบเหลือเพียง 4 สูบ ซึ่งผู้ขับจะต้องกดปุ่มเลือกโหมด C หรือ Controlled Efficiency จากนั้นเครื่องยนต์ก็จะทำงานเองไม่ว่าจะแล่นหรือจอดอยู่ และเมื่อต้องการยกเลิกระบบนี้ก็กดปุ่มสั่งงานได้ทันที ส่วนอีกระบบที่ถูกนำมาติดตั้งคือ Auto Start/Stop ซึ่งจะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ เพื่อความประหยัดน้ำมันเหมือนกับรถยนต์ไฮบริด
หน้าที่ในการส่งกำลังยังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ 7 จังหวะ ที่เรียกว่า AMG Speedshift 7G-Tronic มีให้เลือก 3 โหมดด้วยกัน คือ C-Controlled Efficiency เน้นความประหยัด, S-Sport เน้นความสปอร์ต และ M-Manual ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้เอง
ในเรื่องของหน้าตา แน่นอนว่าแตกต่างจากรุ่นปกติอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชุดสเกิร์ตรอบคันที่ได้รับการออกแบบจาก AMG ซึ่งนอกจากจะให้ความสวยแล้ว ยังมีประโยชน์ใช้สอยอีกด้วย โดยเฉพาะการสร้างแรงกดบนตัวถังเพื่อการทรงตัวที่ดีในขณะแล่นด้วยความเร็วสูง ขณะที่ดิสก์เบรกก็ถูกขยายเพื่อรับมือกับการขจัดม้าฝูงโต ในด้านหน้ามีขนาด 14.2X1.4 นิ้ว และด้านหลัง 13.0X0.9 นิ้ว
ทิ้งท้ายสำหรับใครที่สนใจก็เก็บเงินรอเอาไว้ก่อนได้เลย เพราะว่าการส่งมอบรถในยุโรปจะเริ่มขึ้นในช่วงต้นปีหน้า