ข่าวในประเทศ - เก๋งไม่เกิน 1500ซีซี และปิกอัพถูกหวย! ครม.อนุมัติมาตรการคืนเงินภาษีผู้ซื้อรถคันแรก ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท เก๋งเล็กรับอาณิสงส์เต็มๆ โดยเฉพาะซับคอมแพกต์ที่น่าจะรับเงินคืนสูงสุดเต็ม 1 แสนบาท อีโคคาร์ประมาณ 6.5 หมื่นบาท คาดดันยอดขายเก๋งเล็กปีนี้พุ่ง 2.5 แสนคัน ขณะที่ปิกอัพคืนเริ่มต้นกว่าหมื่นบาทขึ้นไป ผู้ประกอบการประสานเสียง ดันอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยพุ่งแน่ ปีหน้ามีสิทธิ์เห็นตัวเลขการผลิตทะลุ 2 ล้านคัน ส่งผลดีต่อวงจรการผลิตทั้งระบบ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ น่าจะคุ้มกับเงินที่รัฐจ่ายไป 3 หมื่นล้านบาท
วานนี้ (13 ก.ย.) นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถคันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กับผู้ซื้อรถคันแรกคันละไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพทุกประเภท เช่น หากเป็นอีโคคาร์อัตราภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 17% ของราคาขายกว่า 5 แสนบาท อัตราภาษีอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นกว่าบาท หรือปิกอัพธรรมดาอัตราภาษี 3% ส่วนปิกอัพแบบ 4 ประตู(Double Cab) อัตราภาษี 12% ก็ให้คำนวณตามฐานภาษีดังกล่าว แต่สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท
“เดิมกรมสรรพสามิตเสนอให้เริ่ม 1 ต.ค. แต่ครม.เห็นว่าหากจะทำให้มีการชะลอการซื้อขายรถในขณะนี้ จึงมีมติให้เริ่ม 16 ก.ย. นี้ ไปจนถึง 31ธ.ค.2555 โดยคาดว่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการประมาณ 5 แสนคน คิดเป็นงบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท” นายบุญทรงกล่าวและว่า วันนี้ (14 ก.ย.) กรมสรรพสามิตจะเชิญผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศทุกค่าย สถาบันการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อ บริษัทประกันภัยรถยนต์มารับฟังการชี้แจง รายละเอียด แนวทางปฎิบัติให้รับทราบโดยทั่วกัน
สำหรับหลักเกณฑ์การคืนเงินมาตรการรถคันแรก ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซื้อตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน โดยรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพทุกประเภท ซึ่งต้องเป็นรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ ไม่รวมรถยนต์จากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ(จดประกอบ) โดยการคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครอง 1 ปีไปแล้ว และคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน และผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คาดว่าจะมียอดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้สิทธิ์ในมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน เน้นรถประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์) รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพ โดยมีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
“รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสำหรับการชดเชยภาษีสรรพสามิตดังกล่าวไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระงบประมาณ เพราะมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีรถยนต์เพิ่มขึ้นด้วย”
ปิกอัพคืนหลักหมื่น-เก๋งเต็มแสนบาท
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย”ASTV ผู้จัดการรายวัน” ว่า มาตรการคือเงินภาษีผู้ซื้อรถคันแรก อาจจะไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด แต่ถือว่าตรงกับเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการเน้นรถประหยัดพลังงาน เป็นผู้ซื้อรถคันแรก และถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่สุดในตลาดรถยนต์ไทยปัจจุบัน
“เงินภาษีที่คืนกับผู้ซื้อรถคันแรก น่าจะกระตุ้นตลาดเก๋งขนาดเล็กได้มาก เพราะจำนวนเงินที่คืนกับผู้ซื้อรถมีปริมาณดึงดูดใจชัดเจน โดยอีโคคาร์คาดว่าจะประมาณกว่า 6 หมื่นบาท และเก๋งทั่วไปที่มีขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี สูงสุดน่าจะได้คืนเต็ม 1 แสนบาท หรือใกล้เคียง ขณะที่ปิกอัพอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นบาทเป็นต้นไป เพราะเสียภาษีสรรพสามิตต่ำเพียง 3% หรือปิกอัพ 4 ประตูอยู่ที่ 12%”
อย่างไรก็ตาม จำนวนการคืนเงินภาษีดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดรถในประเทศได้มากทีเดียว แต่ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่สรุป คาดว่าน่าจะมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 9 แสนคันในปีนี้ และ 1 ล้านคันในปี 2555 ที่สำคัญมาตรการนี้จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไทยขยายตัว จากเดิมที่คาดว่าปีหน้าจะผลิตประมาณ 2 ล้านคัน จากปีนี้ประเมินผลิต 1.8 ล้านคัน เมื่อมาตรการคืนเงินภาษีรถให้กับผู้ซื้อรถคันแรก จึงเชื่อว่าอาจจะทำให้การผลิตในไทยมากกว่า 2 ล้านคันได้
เชื่อส่งผลดีต่อวงจรผลิต-3หมื่นล.คุ้ม
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตรงนี้จะส่งผลดีต่อวงจรการผลิตรถยนต์ไทยทั้งระบบ ตั้งแต่โรงงานประกอบรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน การจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่วัตถุดิบที่นำมาผลิตอย่างยางธรรมชาติเป็นต้น และจะเป็นส่วนผลักดันให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทดแทนความกังวลที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงเงินงบประมาณที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในมาตรการดังกล่าว 3 หมื่นล้านบาท จะทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนอื่นหรือไม่ แต่ดูแล้วน่าจะคุ้มกับการใช้งบประมาณดังกล่าวแน่นอน” นายสุรพงษ์กล่าว
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ว่า มาตรการคืนภาษีผู้ซื้อรถคันแรกถือเป็นสิ่งที่ดี ในการช่วยกระตุ้นตลาดและอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย โดยระยะเวลากว่า 15 เดือน ในการดำเนินโครงการ ทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ และกระบวนการผลิตก็สามารถดำเนินการได้ รวมถึงสามารถกระตุ้นตลาดได้อย่างชัดเจน
“มาตรการนี้ถือว่าเหมาะสมกับเป้าหมายของมาตรการ เพราะเป็นกลุ่มที่ลูกค้าซื้อรถเป็นคันแรก และการจำกัดเฉพาะรถผลิตในประเทศ ทำให้เกิดการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น ส่งผลบวกต่อวงจรการผลิตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งย่อมจะทำให้เกิดผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจไทยได้”
มั่นใจผลิตรถรองรับตลาดพุ่งได้แน่
นายวุฒิกรกล่าวว่า ในส่วนของโตโยต้ามีทั้งรถรุ่นวีออส และยาริส รวมถึงปิกอัพโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ แต่ผู้ซื้อรถได้รับเงินคืนเท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ โดยในวัน 14 ก.ย.นี้ รัฐบาลจะเชิญผู้ประกอบการไปรับฟังรายละเอียดทั้งหมดอีกที แต่เชื่อว่ามาตรการคืนภาษีผู้ซื้อรถคันแรก จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ไทยเติบโตแน่นอน
“ความต้องการที่สูงขึ้นจากมาตรการคืนเงินภาษีสูงสุด 1 แสนบาท มั่นใจว่าบริษัทรถจะมีกำลังการผลิตรองรับลูกค้าได้ เพราะปัจจุบันแทบจะทุกบริษัทกลับมาเต็มที่แล้ว หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ และเชื่อว่าแต่ละบริษัทจะพยายามรองรับความต้องการลูกค้าเต็มที่ อาจจะรอบ้างแต่คงไม่นานจนผิดปกติ”
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แม้เป็นนโยบายระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเกิดดีมานด์ใหม่ในตลาด เพราะลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่าย แต่สุดท้ายตลาดจะขยายตัวมากขนาดไหนยังยากที่จะบอก เพราะเงื่อนไขและรายละเอียดต่างกันไปในแต่ละรุ่น
“อย่างไรก็ตาม จากการคาดหมายของบริษัทว่า ยอดขายรถยนต์รวมในปี 2555 จะถึง 1 ล้านคัน หรือเติบโต 9% เมื่อเทียบกับปี 2554 คงถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ขณะที่ฮอนด้าหวังจะเติบโตสอดคล้องกับทิศทางตลาด ซึ่งบริษัทเตรียมกำลังผลิตรถยนต์ทุกรุ่นไว้รองรับกับความต้องการของลูกค้าแล้ว”
ส่วนการแข่งขันในตลาดเก๋งและปิกอัพ น่าจะดุเดือดเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่การลดราคาจากค่ายรถยนต์ แต่เป็นเรื่องของลูกค้ากับกรมสรรพสามิต ทั้งนี้กรมสรรพสามิตจะต้องทำรายละเอียด แจ้งอย่างเป็นทางการว่ามีรถรุ่นใดอยู่ในเงื่อนไขของโครงการ และถึงกำหนดจะได้เงินภาษีคืนเท่าไหร่ เช่นเดียวกับฮอนด้าก็เตรียมชี้แจงรายละเอียดให้ลูกค้าทราบ ยกตัวอย่างฮอนด้า ซิตี้ และแจ๊ซ รุ่นท็อป ปกติเสียภาษีสรรพสามิตเต็ม 25% ลูกค้าจึงมีสิทธิ์ได้เงินภาษีคืนสูงสุด 100,000 บาท
มาสด้าตีปีก-เก๋งเล็กปีนี้พุ่งทะลุ2.5แสน
นางสุรีทิพย์ สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ทางรัฐบาลได้อนุมัติโครงการคืนเงินภาษีรถคันแรก น่าจะได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มเก๋งขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ หรือเก๋งซับคอมแพ็กต์ที่มีเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซี
“เก๋งขนาดเล็กเป็นตลาดใหญ่ในกลุ่มรถยนต์นั่ง โดยปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 2.2 แสนคัน และเมื่อมาตรการคืนเงินภาษีรถคันแรกของรัฐบาลออกมา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้มีตัวเลขการเติบโตอย่างมาก ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมากกว่า 2.5 แสนคันแน่นอน”
สำหรับมาสด้ามีรถยนต์ที่ลูกค้าซื้อรถคันแรก สามารถขอรับคืนเงินภาษีได้หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นมาสด้า 2 ใหม่ ทั้งรุ่นสปอร์ต 5 ประตู และเอลิแกนซ์ 4 ประตู เครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ซึ่งรุ่นท็อปน่าจะสามารถได้คืนภาษีสูงสุด 1 แสนบาท และปิกอัพ มาสด้า บีที-50 ซึ่งเข้าข่ายได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้เช่นกัน พร้อมกับยังคงมีแคมเปญส่งเสริมการขายปกติเหมือนเดิม
วานนี้ (13 ก.ย.) นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถคันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กับผู้ซื้อรถคันแรกคันละไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพทุกประเภท เช่น หากเป็นอีโคคาร์อัตราภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 17% ของราคาขายกว่า 5 แสนบาท อัตราภาษีอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นกว่าบาท หรือปิกอัพธรรมดาอัตราภาษี 3% ส่วนปิกอัพแบบ 4 ประตู(Double Cab) อัตราภาษี 12% ก็ให้คำนวณตามฐานภาษีดังกล่าว แต่สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท
“เดิมกรมสรรพสามิตเสนอให้เริ่ม 1 ต.ค. แต่ครม.เห็นว่าหากจะทำให้มีการชะลอการซื้อขายรถในขณะนี้ จึงมีมติให้เริ่ม 16 ก.ย. นี้ ไปจนถึง 31ธ.ค.2555 โดยคาดว่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการประมาณ 5 แสนคน คิดเป็นงบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท” นายบุญทรงกล่าวและว่า วันนี้ (14 ก.ย.) กรมสรรพสามิตจะเชิญผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศทุกค่าย สถาบันการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อ บริษัทประกันภัยรถยนต์มารับฟังการชี้แจง รายละเอียด แนวทางปฎิบัติให้รับทราบโดยทั่วกัน
สำหรับหลักเกณฑ์การคืนเงินมาตรการรถคันแรก ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซื้อตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน โดยรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพทุกประเภท ซึ่งต้องเป็นรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ ไม่รวมรถยนต์จากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ(จดประกอบ) โดยการคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครอง 1 ปีไปแล้ว และคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน และผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี
นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คาดว่าจะมียอดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้สิทธิ์ในมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน เน้นรถประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์) รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพ โดยมีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
“รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสำหรับการชดเชยภาษีสรรพสามิตดังกล่าวไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระงบประมาณ เพราะมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีรถยนต์เพิ่มขึ้นด้วย”
ปิกอัพคืนหลักหมื่น-เก๋งเต็มแสนบาท
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย”ASTV ผู้จัดการรายวัน” ว่า มาตรการคือเงินภาษีผู้ซื้อรถคันแรก อาจจะไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด แต่ถือว่าตรงกับเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการเน้นรถประหยัดพลังงาน เป็นผู้ซื้อรถคันแรก และถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่สุดในตลาดรถยนต์ไทยปัจจุบัน
“เงินภาษีที่คืนกับผู้ซื้อรถคันแรก น่าจะกระตุ้นตลาดเก๋งขนาดเล็กได้มาก เพราะจำนวนเงินที่คืนกับผู้ซื้อรถมีปริมาณดึงดูดใจชัดเจน โดยอีโคคาร์คาดว่าจะประมาณกว่า 6 หมื่นบาท และเก๋งทั่วไปที่มีขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี สูงสุดน่าจะได้คืนเต็ม 1 แสนบาท หรือใกล้เคียง ขณะที่ปิกอัพอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นบาทเป็นต้นไป เพราะเสียภาษีสรรพสามิตต่ำเพียง 3% หรือปิกอัพ 4 ประตูอยู่ที่ 12%”
อย่างไรก็ตาม จำนวนการคืนเงินภาษีดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดรถในประเทศได้มากทีเดียว แต่ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่สรุป คาดว่าน่าจะมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 9 แสนคันในปีนี้ และ 1 ล้านคันในปี 2555 ที่สำคัญมาตรการนี้จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไทยขยายตัว จากเดิมที่คาดว่าปีหน้าจะผลิตประมาณ 2 ล้านคัน จากปีนี้ประเมินผลิต 1.8 ล้านคัน เมื่อมาตรการคืนเงินภาษีรถให้กับผู้ซื้อรถคันแรก จึงเชื่อว่าอาจจะทำให้การผลิตในไทยมากกว่า 2 ล้านคันได้
เชื่อส่งผลดีต่อวงจรผลิต-3หมื่นล.คุ้ม
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตรงนี้จะส่งผลดีต่อวงจรการผลิตรถยนต์ไทยทั้งระบบ ตั้งแต่โรงงานประกอบรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน การจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่วัตถุดิบที่นำมาผลิตอย่างยางธรรมชาติเป็นต้น และจะเป็นส่วนผลักดันให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทดแทนความกังวลที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงเงินงบประมาณที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในมาตรการดังกล่าว 3 หมื่นล้านบาท จะทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนอื่นหรือไม่ แต่ดูแล้วน่าจะคุ้มกับการใช้งบประมาณดังกล่าวแน่นอน” นายสุรพงษ์กล่าว
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ว่า มาตรการคืนภาษีผู้ซื้อรถคันแรกถือเป็นสิ่งที่ดี ในการช่วยกระตุ้นตลาดและอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย โดยระยะเวลากว่า 15 เดือน ในการดำเนินโครงการ ทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ และกระบวนการผลิตก็สามารถดำเนินการได้ รวมถึงสามารถกระตุ้นตลาดได้อย่างชัดเจน
“มาตรการนี้ถือว่าเหมาะสมกับเป้าหมายของมาตรการ เพราะเป็นกลุ่มที่ลูกค้าซื้อรถเป็นคันแรก และการจำกัดเฉพาะรถผลิตในประเทศ ทำให้เกิดการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น ส่งผลบวกต่อวงจรการผลิตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งย่อมจะทำให้เกิดผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจไทยได้”
มั่นใจผลิตรถรองรับตลาดพุ่งได้แน่
นายวุฒิกรกล่าวว่า ในส่วนของโตโยต้ามีทั้งรถรุ่นวีออส และยาริส รวมถึงปิกอัพโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ แต่ผู้ซื้อรถได้รับเงินคืนเท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ โดยในวัน 14 ก.ย.นี้ รัฐบาลจะเชิญผู้ประกอบการไปรับฟังรายละเอียดทั้งหมดอีกที แต่เชื่อว่ามาตรการคืนภาษีผู้ซื้อรถคันแรก จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ไทยเติบโตแน่นอน
“ความต้องการที่สูงขึ้นจากมาตรการคืนเงินภาษีสูงสุด 1 แสนบาท มั่นใจว่าบริษัทรถจะมีกำลังการผลิตรองรับลูกค้าได้ เพราะปัจจุบันแทบจะทุกบริษัทกลับมาเต็มที่แล้ว หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ และเชื่อว่าแต่ละบริษัทจะพยายามรองรับความต้องการลูกค้าเต็มที่ อาจจะรอบ้างแต่คงไม่นานจนผิดปกติ”
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แม้เป็นนโยบายระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเกิดดีมานด์ใหม่ในตลาด เพราะลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่าย แต่สุดท้ายตลาดจะขยายตัวมากขนาดไหนยังยากที่จะบอก เพราะเงื่อนไขและรายละเอียดต่างกันไปในแต่ละรุ่น
“อย่างไรก็ตาม จากการคาดหมายของบริษัทว่า ยอดขายรถยนต์รวมในปี 2555 จะถึง 1 ล้านคัน หรือเติบโต 9% เมื่อเทียบกับปี 2554 คงถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ขณะที่ฮอนด้าหวังจะเติบโตสอดคล้องกับทิศทางตลาด ซึ่งบริษัทเตรียมกำลังผลิตรถยนต์ทุกรุ่นไว้รองรับกับความต้องการของลูกค้าแล้ว”
ส่วนการแข่งขันในตลาดเก๋งและปิกอัพ น่าจะดุเดือดเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่การลดราคาจากค่ายรถยนต์ แต่เป็นเรื่องของลูกค้ากับกรมสรรพสามิต ทั้งนี้กรมสรรพสามิตจะต้องทำรายละเอียด แจ้งอย่างเป็นทางการว่ามีรถรุ่นใดอยู่ในเงื่อนไขของโครงการ และถึงกำหนดจะได้เงินภาษีคืนเท่าไหร่ เช่นเดียวกับฮอนด้าก็เตรียมชี้แจงรายละเอียดให้ลูกค้าทราบ ยกตัวอย่างฮอนด้า ซิตี้ และแจ๊ซ รุ่นท็อป ปกติเสียภาษีสรรพสามิตเต็ม 25% ลูกค้าจึงมีสิทธิ์ได้เงินภาษีคืนสูงสุด 100,000 บาท
มาสด้าตีปีก-เก๋งเล็กปีนี้พุ่งทะลุ2.5แสน
นางสุรีทิพย์ สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ทางรัฐบาลได้อนุมัติโครงการคืนเงินภาษีรถคันแรก น่าจะได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มเก๋งขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ หรือเก๋งซับคอมแพ็กต์ที่มีเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซี
“เก๋งขนาดเล็กเป็นตลาดใหญ่ในกลุ่มรถยนต์นั่ง โดยปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 2.2 แสนคัน และเมื่อมาตรการคืนเงินภาษีรถคันแรกของรัฐบาลออกมา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้มีตัวเลขการเติบโตอย่างมาก ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมากกว่า 2.5 แสนคันแน่นอน”
สำหรับมาสด้ามีรถยนต์ที่ลูกค้าซื้อรถคันแรก สามารถขอรับคืนเงินภาษีได้หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นมาสด้า 2 ใหม่ ทั้งรุ่นสปอร์ต 5 ประตู และเอลิแกนซ์ 4 ประตู เครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ซึ่งรุ่นท็อปน่าจะสามารถได้คืนภาษีสูงสุด 1 แสนบาท และปิกอัพ มาสด้า บีที-50 ซึ่งเข้าข่ายได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้เช่นกัน พร้อมกับยังคงมีแคมเปญส่งเสริมการขายปกติเหมือนเดิม