xs
xsm
sm
md
lg

รถคันแรก เริ่ม16ก.ย.นี้ รัฐสูญ3หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-"ครม.ปู" ยอมทิ้งภาษี 3 หมื่นล้าน อนุมัติโครงการรถคันแรก ปิกอัพ-เก๋งราคาไม่เกิน 1 ล้าน ยกเว้นภาษีสรรพสามิตไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน คืนเงินหลังพ้น 1 ปีนับจากวันซื้อ แต่ต้องถือครองรถ 5 ปี ดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.54 ถึง 31 ธ.ค.ปีหน้า รมว.อุตฯ หวังยอดขายรถเพิ่มขึ้น 5 แสนคัน

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ กำหนดให้รถยนต์นั่งไม่เกิน 1,500 ซีซี กับรถกระบะไม่กำหนดซีซี ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขต้องถือกรรมสิทธิต่อเนื่อง 5 ปี คืนเงินให้หลังจาก 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ โดยขอคืนภาษีได้จากฐานคำนวนภาษี ซึ่งอัตราสูงสุดไม่เกินคันละ 1 แสนบาท เช่น หากเป็นรถอีโคคาร์ อัตราภาษีอยู่ที่ 17% ของราคาขาย 5 แสนบาท อัตราภาษีอยู่ที่ 8 หมื่นกว่าบาท รถกระบะธรรมดา อัตราภาษีอยู่ที่ 3% ส่วนรถ Double Cab อัตราภาษีอยู่ที่ 12% ก็ให้คำนวณตามฐานภาษีดังกล่าว แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท

"เดิมกรมสรรพสามิตเสนอให้เริ่ม 1 ต.ค. แต่ครม.เห็นว่าหากประกาศ 1 ต.ค. จะมีการชะลอการซื้อขายรถในขณะนี้ จึงมีมติให้เริ่ม 16 ก.ย.2554 ไปจนถึง 31ธ.ค.2555 คาดว่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการประมาณ 5 แสนคน คิดเป็นงบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท" นายบุญทรงกล่าวและว่า วันนี้ (14 ก.ย.) กรมสรรพสามิตจะเชิญผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศทุกค่าย สถาบันการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อ บริษัทประกันภัยรถยนต์มารับฟังการชี้แจง รายละเอียด แนวทางปฎิบัติให้รับทราบโดยทั่วกัน

สำหรับมาตรการภาษีรถยนต์คันแรกที่กระทรวงการคลังเสนอ มีรายละเอียดของการดำเนินการต่างๆ ดังนี้

1.เป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2554 (ปรับเป็นตั้งแต่ 16 ก.ย. 2554) จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555
2.เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน
3.เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)
4.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)
5.คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน
6.ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
7.ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี
8.การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี ไปแล้ว (เริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป)

ส่วนแนวทางการดำเนินงาน 1.ผู้ซื้อรถยนต์ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2554 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555 ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

2.กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทาง บกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ
3.กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน
4.กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครอง รถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก “ห้ามโอนภายใน 5 ปี” ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่
5.กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเสนอ ครม.อนุมัติและจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2555 จำนวน 100 ล้านบาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ และเสนออนุมัติจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ 2556 จำนวน 3 หมื่นล้านบาท เพื่อคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 1 แสนบาท

กระทรวงการคลังยังเสนอให้ ครม.อนุมัติในหลักการให้หัวหน้าส่วนราชการกรมสรรพสามิต (อธิบดีกรมสรรพสามิต) หรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจอนุมัติให้คืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกให้กับผู้ซื้อ และเสนอครม. มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคมให้ความร่วมมือกับกรมสรรพสามิตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสดง หลักฐานการครอบครองรถยนต์คันแรก การบันทึกข้อมูลห้ามจำหน่ายโอนรถยนต์ภายใน 5 ปี ตามมาตรการดังกล่าวของรัฐบาลต่อไป

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเมินว่าจะมียอดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้สิทธิในมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน เน้นรถประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์), รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี และรถปิคอัพที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสำหรับการชดเชยภาษีสรรพสามิตดังกล่าวไว้ที่ 30,000 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระงบประมาณ เพราะมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีรถยนต์เพิ่มขึ้นด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น