xs
xsm
sm
md
lg

“เทสล่า โรดสเตอร์”สปอร์ตไฟฟ้าบ้าพลัง ขับมันอย่าบอกใคร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในชีวิตนอกจาก “รถกอล์ฟ” ที่เคยแอบขับตามรีสอร์ท และ “ไอมีฟ” ที่มิตซูบิชินำมาให้ลองช่วงสั้นๆในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010 ปลายปีที่แล้ว รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือที่เรียกกันติดปากว่า “อีวี” (EV-Electronic Vehicle) แทบไม่มีโอกาสได้โดนมือสัมผัสเท้าของผู้เขียนเลย

...ก็แน่ละครับ ในเมื่อ “รถอีวี” ยังไม่มีการผลิตออกมาทำตลาดอย่างแพร่หลาย แล้วจะหารถที่ไหนมาลองขับ?

จริงๆที่เกริ่นมาเพียงจะบอกว่า แค่ได้ขับ “รถอีวี” ที่เป็นรถบ้านๆทั่วไป ก็ดีใจน้ำตาไหลแล้ว แต่ในเมื่อเกรย์มาร์เก็ตรายใหญ่อย่าง “อีตั้น อิมปอร์ท” จัดการนำเข้า “เทสล่า โรดสเตอร์” (Tesla Roadster) มาทำตลาด ผู้เขียนจึงมีโอกาสได้ลองสปอร์ตคาร์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่กับเขาด้วย

โดย“อีตั้น อิมปอร์ท” นำ “เทสล่า โรดสเตอร์” มาเปิดตัวในงาน “บางกอกยูสคาร์ฯ 2011” พร้อมตั้งราคาขาย 8.5 ล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นสร้างความฮือฮาเรียกกระแสได้พอสมควร และได้ข่าวว่ามีผู้สนใจจองไปแล้ว 1 คัน

สำหรับ “เทสล่า โรดสเตอร์” เป็นผลผลิตของ “เทสล่า มอเตอร์ส” บริษัทรถพลังงานไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกา โดยสปอร์ตเปิดหลังรุ่นนี้ได้ความร่วมมือจากค่ายรถยนต์ “โลตัส” ประเทศอังกฤษ มาช่วยผลิตแชสซีส์ ตัวถัง หรือจะว่าไปก็อิงโมเดลรุ่น “อีลิส” มาพัฒนาต่อยอดนั่นเอง

“เทสล่า โรดสเตอร์” เปิดตัวให้โลกได้รู้จักครั้งแรกเมื่อปี 2008 ส่วนรุ่นที่เห็นอยู่นี้เป็นโฉมใหม่ล่าสุด หรือรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งถูกนำมาเปิดตัวที่งาน Goodwood Festival of Speed ประเทศอังกฤษ เดือนกรกฎาคมปี 2010

โดยจุดเด่นและจุดขายอย่างระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าที่ให้กำลังแรง สมรรถนะระดับรถสปอร์ต แถมไม่มีการปล่อยมลพิษ (Zero Emission) จะมาพร้อม“เพาเวอร์ อิเลกทริค โมดูล” ซึ่งเปรียบเสมือนสมองกลอัจฉริยะคอยควบคุมการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ และสั่งจ่ายไฟให้“มอเตอร์”ที่วางอยู่ด้านหลัง

อย่างไรก็ตามในส่วนของการชาร์จไฟจะแบ่งได้หลายโหมด ทั้งแบบสแตนดาร์ด แบบชาร์จเต็มที่สุดๆ แบบรวดเร็ว และแบบสแตนด์บายในกรณีต้องจอดรถทิ้งไว้นานๆ

ทั้งนี้ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่าง การชาร์จในโหมด“สแตนดาร์ด” กับไฟบ้านทั่วไป ค่ากระแสไฟ 5-15 แอมป์ อาจต้องใช้เวลานาน17-18 ชม. แบตเตอรี่ถึงจะเต็ม แต่ถ้าเป็นโรงงานหรือคฤหาสน์หลังโต ที่ใช้กระแสไฟเกิน 30 แอมป์ (รูใหญ่)จะช่วยลดระยะเวลาการชาร์จลงเหลือ 7-8 ชม. เท่านั้น(ต้องใช้ชุดสายไฟขนาดใหญ่กว่าปกติ)

เหนืออื่นใดกรณีเร่งด่วน แล้วเลือกโหมดชาร์จแบบเร็ว (ไม่ว่าจะใช้กระแสไฟ 15 หรือ 30 แอมป์) ระยะเวลาดังกล่าวจะลดสัดส่วนลงมาครึ่งหนึ่ง แต่ควรรู้เอาไว้ว่า ถ้าคุณเลือกใช้ระบบนี้บ่อยๆอาจเป็นผลให้แบตเตอรี่เสื่อม หรืออายุการใช้งานสั้นลงกว่าปกติที่ “เทสล่า” เคลมเอาไว้ 7 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

สำหรับแบตเตอรี่แบบลิเธียม อิออน เมื่อชาร์จประจุไฟเต็มแล้วสามารถวิ่งได้ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร แม้จะเป็นการขับรถติดในเมือง สลับขับนอกเมืองใช้ความเร็วเฉลี่ย 100-110 กม./ชม. แต่ถ้าเท้าหนักซัดเกิน 120-140 กม./ชม.ขึ้นไป ระยะทางรวมก็ต้องลดลงตามลำดับ

ด้านสมรรถนะการขับขี่จริงบนท้องถนน ผู้เขียนเริ่มควบ “เทสล่า โรดสเตอร์” จากโชว์รูม “อีตั้น ศรีนครินทร์” มุ่งหมายปลายทางแถวบางแสน ชลบุรี ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเข้าออกภายในห้องโดยสารถือว่า ลำบากคนตัวใหญ่ แต่ถ้าเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องสักนิดก็ไม่เป็นปัญหาอะไรมาก

ด้านเบาะเป็นแบบบักเก็ตซีทขึ้นรูปชิ้นเดียว พร้อมตำแหน่งเตี้ยเรี่ยพื้นตามสไตล์สปอร์ตโรดสเตอร์ ส่วนพวงมาลัย “โมโม่” วงเล็กกระชับมือ แต่ไร้ระบบการผ่อนแรงใดๆ ทำให้การเอี้ยวเลี้ยวช่วงความเร็วต่ำ และถอยจอดต้องใช้แรงแขนหนักหนาสาหัสทีเดียว


ประเด็นนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า วิศวกรชั่งน้ำหนักเรื่องความปลอดภัย หรือการใช้มอเตอร์มาช่วยผ่อนแรงแล้วจะกินไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มากกว่ากัน (ส่งผลให้ได้ระยะทางวิ่งรวมน้อยลง)

ขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง หรือมีกำลังสูงถึง 288 แรงม้า ที่สำคัญไม่มีคันเกียร์และแพดเดิลชิฟท์ให้โยก ซึ่งผู้ขับต้องเลือกกดปุ่มตรงคอนโซลกลาง ว่าจะเลือก D R N หรือ P (แต่ยังมีเบรกมือให้ดึงอยู่)

“เทสล่า โรดสเตอร์” สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 201 กม./ชม. การขับจริงก็สะท้อนตัวเลขดังกล่าว โดยพละกำลังจะถูกปลดปล่อยตามแรงกดคันเร่ง จะเหยียบลึก กดน้อย สั่งได้ตามใจผู้ขับ ขณะเดียวกันยังพุ่งกระชากแบบหลังติดเบาะ

อัตราเร่งมาทันใช้ทุกย่านความเร็ว ขึ้นอยู่กับว่าคนขับต้องการมากแค่ไหน ผู้เขียนลองสังเกตความเร็วจาก 60 กม./ชม. ไล่ไปถึง 150 กม./ชม.ทำได้เพียงอึดใจ พร้อมสุดยอดการทรงตัว ช่วงล่างหนึบแน่น มุดซ้ายป่ายขวาคล่องตัว ไม่ต้องกังวลระยะเหลือเผื่อขาด

ทั้งนี้ช่วงล่างแบบบอิสระ 4 ล้อ พร้อมอัตราทดสุดท้ายขนาด 16 นิ้ว ประกบยาง 175/55 R16 หลังขนาด 17 นิ้ว ยาง 225/45 R17 แม้จะผ่านรอยต่อคอสะพาน พร้อมสะท้อนอาการสะท้านของถนนได้ชัดเจน แต่รวมๆไม่ถึงกับกระด้าง หรือดิบแข็งจนรับไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบจากการขับรถไฟฟ้า (รวมถึงพวกลูกผสมไฮบริด) คือความมั่นใจจากการเบรก กล่าวคือ ถ้าขับความเร็วสูง หรือกำลังตะบี้ตะบันมันเท้า แต่เมื่อต้องการชะลอหยุด พร้อมถอนคันเร่งขึ้นมา ตัวรถ(มอเตอร์ไฟฟ้า)ก็จะหน่วงความเร็วเอาไว้ระดับหนึ่ง ยิ่งเป็น“เทสล่า โรดสเตอร์” ด้วยแล้ว แทบไม่ต้องโยกเท้าไปเหยียบเบรก เพราะผู้ขับจะรับรู้ถึงอาการดึง พร้อมระยะชะลอที่อยู่ในระดับควบคุมได้

อย่างไรก็ตามแม้รถพลังไฟฟ้าจะมีข้อดีเรื่องการเบรก แต่ระบบความปลอดภัยอย่าง ABS - 4 เซ็นเซอร์ รวมถึง เทรคชันคอลโทรล และถุงลมนิรภัยคู่หน้า ยังจัดเป็นมาตรฐาน

รวบรัดตัดความ... “โลตัส” ถือเป็น “เอตทัคคะ” ในการทำช่วงล่าง ตัวถัง พร้อมโครงสร้างน้ำหนักเบา ดังนั้นเมื่อมาเจอผู้ผลิตระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าระดับเทพอย่าง “เทสล่า มอเตอร์ส” เราจึงได้สุดยอดยนตรกรรมสายพันธุ์ใหม่ที่โลกไม่เคยเจอ ด้วยสมรรถนะ “เร่งเร็ว พลังแรง หลังติดเบาะ” แถมไม่ต้องพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ผู้เขียนเชื่อว่า “เศรษฐีไทยใจสมุทร” คนไหนมีโอกาสได้ลองขับ “เทสล่า โรดสเตอร์” แล้ว คงต้องหาทางหาเงินกว่า 8 ล้านบาทมาแลกไปเป็นเจ้าของเป็นแน่...แต่ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจริงๆจะมีรถให้ซื้อรึเปล่า?












กำลังโหลดความคิดเห็น