ถ้าคิดว่ารหัส AMG คือ ตัวแรงที่เร้าใจแบบสุดๆ เห็นทีจะคิดผิด เพราะเหนือจาก AMG ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็ยังมี Black Series Edition ออกมาเป็นอีกทางเลือกแห่งความเร้าใจ โดยรถสปอร์ตรุ่นล่าสุดที่สวมรหัสนี้ในการทำตลาดคือ C63AMG Coupe ที่มีการพกม้ามาจากโรงงานมากกว่า 500 ตัว หรือมากกว่า AMG รุ่นปกติร่วมๆ 30 ตัวเลยทีเดียว
สำหรับ Black Series Edition ถูกส่งออกมาเปิดตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2006 ซึ่งรถสปอร์ตรุ่นแรกที่ได้สิทธิ์ใช้ชื่อนี้ในการทำตลาด คือ SLK556AMG ที่มาพร้อมกับความเร้าใจในระดับ 400 แรงม้าและขายไปได้ 120 คัน จากนั้นในเดือนเมษายน 2007 ก็มีการผลิตเวอร์ชันที่ 2 ออกมา คราวนี้เป็นรุ่น CLK63AMG มีการผลิตออกมา 700 คัน ซึ่งใช้เครื่องยนต์วี8 มีกำลังสูงสุด 507 แรงม้า
ส่วนรุ่นล่าสุดที่มีการผลิตก่อนถึงคิว C63AMG Coupe คือ SL65AMG ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 และมาพร้อมกับความไม่ธรรมดาเพราะแปลงตัวถังจากสปอร์ตเปิดประทุนของ SL ให้กลายเป็นคูเป้หลังคาแข็งแบบยึดติดตายตัว และอัพเกรดเครื่องยนต์วี12 ขนาด 6000 ซีซี เทอร์โบคู่ ให้มีกำลังถึง 670 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 101.9 กก.-ม. โดยระหว่างเดือนกันยายน 2008 จนถึงสิงหาคม 2009 มีการผลิตออกมา 350 คัน
C63AMG Coupe เป็นผลผลิตที่ 4 สำหรับความเร้าใจรุ่นนี้ ตัวรถถูกเปิดตัวให้สัมผัสก่อนการแข่งขัน F1 รายการเยอรมัน กรังด์ปรีซ์จะเริ่มขึ้น และจะเริ่มทำตลาดทันทีในยุโรปช่วงปลายปีนี้ ส่วนจำนวนการผลิตไม่มีการเปิดเผยว่าจะมีกี่คัน
ในแง่ของหน้าตาเมื่อดูผ่านๆ หลายคนอาจจะคิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างจากเวอร์ชันปกติ และดูท่าเป็นจริงเสียด้วย แต่สิ่งที่แปลกใหม่และเพิ่มขึ้นมาจาก C63AMG คือ ชิ้นส่วนของบรรดาสเกิร์ตและสปอยเลอร์ที่ต่อเติมเพิ่มขึ้นมาจากของเดิม เช่น การเสริมโป่งตัวถังตรงบริเวณซุ้มล้อ และเจาะช่องสำหรับระบายอากาศ รวมถึงลิ้นตรงชายล่างของกันชนหน้าได้รับการผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อลดน้ำหนักและความสวยงาม
อีกทั้งใต้ท้องรถยังมีการติดตั้งแผ่นเรียบเพื่อจัดเรียงอากาศใต้ท้องรถให้มีความเป็นระเบียบ และลดสภาพอากาศหมุนวนใต้ท้องตัวถังในขณะแล่นจนอาจส่งผลต่อสมรรถนะการทรงตัวในย่านความเร็วสูง ขณะที่ล้อแม็กเป็นลายใหม่ขนาด 19 นิ้วจับคู่กับยาง 255/35R19 ที่ด้านหน้า และ 285/30R19 ที่ด้านหลัง
หน้าที่หลักในการขับเคลื่อนยังเป็นงานของขุมพลังวี8 6208 ซีซี ที่จัดอยู่ในคลาส 6300 ซีซี ตามการเรียกขานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยขุมพลังบล็อกนี้ได้รับการอัพเกรดจากเดิมที่มีอยู่ 487 แรงม้า มาอยู่ที่ 517 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 63.2 กก.-ม.
การส่งกำลังสู่ล้อหลังเป็นหน้าที่ของเกียร์ SPEEDSHIFT MCT แบบ 7 จังหวะของ AMG ซึ่งให้สมรรถนะที่จัดจ้านขึ้นด้วยตัวเลข 4.2 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนรุ่นปกติตัวเลขในส่วนนี้อยู่ที่ 4.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใครที่สนใจสมรรถนะการขับเคลื่อนซึ่งเหนือระดับจาก AMG เก็บเงินรอได้เลยกับ Black Series Edition ของ C63AMG Coupe โดยในเยอรมนีจะมีการตั้งราคาเอาไว้ที่ 115,430 ยูโร หรือราวๆ 5.19 ล้านบาท
สำหรับ Black Series Edition ถูกส่งออกมาเปิดตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2006 ซึ่งรถสปอร์ตรุ่นแรกที่ได้สิทธิ์ใช้ชื่อนี้ในการทำตลาด คือ SLK556AMG ที่มาพร้อมกับความเร้าใจในระดับ 400 แรงม้าและขายไปได้ 120 คัน จากนั้นในเดือนเมษายน 2007 ก็มีการผลิตเวอร์ชันที่ 2 ออกมา คราวนี้เป็นรุ่น CLK63AMG มีการผลิตออกมา 700 คัน ซึ่งใช้เครื่องยนต์วี8 มีกำลังสูงสุด 507 แรงม้า
ส่วนรุ่นล่าสุดที่มีการผลิตก่อนถึงคิว C63AMG Coupe คือ SL65AMG ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 และมาพร้อมกับความไม่ธรรมดาเพราะแปลงตัวถังจากสปอร์ตเปิดประทุนของ SL ให้กลายเป็นคูเป้หลังคาแข็งแบบยึดติดตายตัว และอัพเกรดเครื่องยนต์วี12 ขนาด 6000 ซีซี เทอร์โบคู่ ให้มีกำลังถึง 670 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 101.9 กก.-ม. โดยระหว่างเดือนกันยายน 2008 จนถึงสิงหาคม 2009 มีการผลิตออกมา 350 คัน
C63AMG Coupe เป็นผลผลิตที่ 4 สำหรับความเร้าใจรุ่นนี้ ตัวรถถูกเปิดตัวให้สัมผัสก่อนการแข่งขัน F1 รายการเยอรมัน กรังด์ปรีซ์จะเริ่มขึ้น และจะเริ่มทำตลาดทันทีในยุโรปช่วงปลายปีนี้ ส่วนจำนวนการผลิตไม่มีการเปิดเผยว่าจะมีกี่คัน
ในแง่ของหน้าตาเมื่อดูผ่านๆ หลายคนอาจจะคิดว่าไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่างจากเวอร์ชันปกติ และดูท่าเป็นจริงเสียด้วย แต่สิ่งที่แปลกใหม่และเพิ่มขึ้นมาจาก C63AMG คือ ชิ้นส่วนของบรรดาสเกิร์ตและสปอยเลอร์ที่ต่อเติมเพิ่มขึ้นมาจากของเดิม เช่น การเสริมโป่งตัวถังตรงบริเวณซุ้มล้อ และเจาะช่องสำหรับระบายอากาศ รวมถึงลิ้นตรงชายล่างของกันชนหน้าได้รับการผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อลดน้ำหนักและความสวยงาม
อีกทั้งใต้ท้องรถยังมีการติดตั้งแผ่นเรียบเพื่อจัดเรียงอากาศใต้ท้องรถให้มีความเป็นระเบียบ และลดสภาพอากาศหมุนวนใต้ท้องตัวถังในขณะแล่นจนอาจส่งผลต่อสมรรถนะการทรงตัวในย่านความเร็วสูง ขณะที่ล้อแม็กเป็นลายใหม่ขนาด 19 นิ้วจับคู่กับยาง 255/35R19 ที่ด้านหน้า และ 285/30R19 ที่ด้านหลัง
หน้าที่หลักในการขับเคลื่อนยังเป็นงานของขุมพลังวี8 6208 ซีซี ที่จัดอยู่ในคลาส 6300 ซีซี ตามการเรียกขานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยขุมพลังบล็อกนี้ได้รับการอัพเกรดจากเดิมที่มีอยู่ 487 แรงม้า มาอยู่ที่ 517 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 63.2 กก.-ม.
การส่งกำลังสู่ล้อหลังเป็นหน้าที่ของเกียร์ SPEEDSHIFT MCT แบบ 7 จังหวะของ AMG ซึ่งให้สมรรถนะที่จัดจ้านขึ้นด้วยตัวเลข 4.2 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนรุ่นปกติตัวเลขในส่วนนี้อยู่ที่ 4.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ใครที่สนใจสมรรถนะการขับเคลื่อนซึ่งเหนือระดับจาก AMG เก็บเงินรอได้เลยกับ Black Series Edition ของ C63AMG Coupe โดยในเยอรมนีจะมีการตั้งราคาเอาไว้ที่ 115,430 ยูโร หรือราวๆ 5.19 ล้านบาท