นับถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 100 ปี ของรถยนต์สายพันธุ์แท้จากประเทศอังกฤษ “มอร์แกน” (Morgan) ซึ่งได้สร้างชื่อโลดแล่นในวงการคลาสสิกคาร์ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา (คลิ๊กอ่านข่าว) จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะขอแนะนำทำความรู้จักและศึกษาประวัติความเป็นมา ก่อนที่ลูกค้าชาวไทยจะได้สัมผัสและก้าวข้ามสู่ศตวรรษใหม่ ร่วมกับแบรนด์ดังจากเมืองผู้ดีไปพร้อมกัน
มอร์แกนเป็นแบบฉบับของยนตรกรรมคลาสสิกขนานแท้จากอังกฤษ ผลิตโดย มอร์แกนมอเตอร์ คาร์ (Morgan Motor Cars) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ภายใต้หัวเรือใหญ่ Harry Frederick Stanley Morgan หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า H.F.S. Morgan หลังจากเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1959 Peter Morgan บุตรชาย ตามด้วย Charles Morgan ทายาทรุ่นที่ 3 รับช่วงกิจการต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีฐานการผลิตอยู่ที่ Malvern Link และมีพนักงานประมาณ 160 คน ซึ่งสิ่งที่สร้างชื่อให้กับผลิตภัณฑ์ของมอร์แกนมาโดยตลอด คือ การเป็นรถยนต์ที่ประกอบขึ้นด้วยมือทั้งหมดทุกขั้นตอน
นับจากอดีต พื้นที่กว้างขวางของโรงงานประกอบรถยนต์มอร์แกนที่ Malvern Link ใน Worcestershire ประกอบไปด้วยอาคารเรียงเป็นแถวยาวตามรูปแบบสถาปัตยกรรมในยุคก่อน และยังคงใช้เป็นที่ผลิตรถยนต์ประกอบด้วยมือคุณภาพสูงโดยช่างฝีมือชั้นยอดของอังกฤษ ด้วยการนำเทคโนโลยีการผลิตแบบดั้งเดิมมาผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ เทคนิคการหล่อชิ้นส่วนอลูมิเนียมแต่ละชิ้นเพื่อให้ได้คุณภาพสูงตามมาตรฐานของมอร์แกน รวมถึงการนำไม้มาทำเป็นโครงสร้างเพื่อลดน้ำหนักของตัวรถ ตลอดจนเทคนิคการทำสีที่มีลิขสิทธิ์เฉพาะของมอร์แกน
จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงอุตสาหกรรมในครัวเรือน โดยผลิตรถยนต์สามล้อรุ่นแรกที่สร้างความสำเร็จให้กับมอร์แกนในอดีต จนก้าวมาเป็นบริษัทที่ผลิตรถสปอร์ตคาร์ประกอบมือระดับหรู สามารถผลิตรถจากมือ (Hand Made) ได้ถึงปีละ 1,000 คัน
มอร์แกนได้ปรับปรุงสายการผลิตและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้มีการนำระบบการผลิตแบบลีน (lean) มาใช้ โดยประสานความร่วมมือกับ Birmingham City University ฝึกอบรมและเพิ่มทักษะผู้ปฏิบัติงาน สร้างทีมออกแบบรถยนต์ของตนเอง การวิเคราะห์ขั้นตอนการผลิตที่มีรายละเอียดมากขึ้น เพิ่มการจัดพื้นที่สำหรับการทดสอบให้เหมาะสมมากขึ้น รวมถึงการผลักดันอย่างเต็มกำลังจนโรงงานผลิตรถสปอร์ตประกอบมือแห่งนี้ได้รับการรับรองคุณภาพระดับสากลอย่าง ISO 9001 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้บริษัทสามารถส่งมอบรถรุ่นใหม่ๆ ได้ทันกับการขยายตัวของตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้รูปแบบการดำเนินธุรกิจประกอบรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าในแต่ละราย (MORGAN Customization Model) ในแต่ละเดือนมอร์แกนต้องใช้ชิ้นส่วนต่างๆ มากกว่า 20,000 ชิ้น จากผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 50 ราย อาทิ Radshape Sheet Metal ในเมือง Birmingham, Glasurit (ในเครือ BASF) ผู้ผลิตสีรถยนต์รายใหญ่, Superform Aluminum บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนแผ่นอลูมิเนียมSPF เป็นต้น ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรายสำคัญของมอร์แกนที่ทั้งผลิตชิ้นส่วนให้กับแบรนด์ชั้นนำเช่น Aston Martin และ Bentley อีกด้วย
สำหรับ MORGAN Customization Model หรือ การประกอบรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้านั้น ผู้ซื้อสามารถมีส่วนร่วมในการเลือกประกอบรถยนต์ตามความต้องการได้ทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่โครงรถ เลือกติดตั้งขนาดของเครื่องยนต์ที่เหมาะสมต่อความต้องการ สีรถที่มีให้เลือกมากมายถึง 250,000 เฉดสี อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเลือกชนิดและสีของหนังที่ใช้ทำเบาะ หรือแม้กระทั่งแผงหน้าปัดรถรุ่นปัจจุบันที่มีให้เลือกถึง24 แบบ รวมถึงหน้าปัดสำหรับรถพวงมาลัยซ้ายและขวา หน้าปัดบอกความเร็วเป็นไมล์ (MPH) หรือเป็นกิโลเมตร (KPH) และยังมีอุปกรณ์ตกแต่งอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเลือกติดตั้งประกอบได้ตามความต้องการของลูกค้าได้ดังใจ
สำหรับกระบวนการผลิตของมอร์แกนประกอบด้วย 6 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การผลิตโครงรถ (chassis) ที่ใช้แรงงานคนและเป็นงานฝีมือทั้งหมด ไม่มีการใช้หุ่นยนต์ในโรงงานแต่อย่างใด การประกอบตัวรถต้องใช้ทั้งทักษะฝีมือและความชำนาญเป็นหัวใจสำคัญ งานโลหะที่เลือกเน้นใช้เฉพาะวัสดุที่ทำให้รถเบาและที่สำคัญต้องวิ่งได้เร็ว ทั้งยังต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ด้านวิศวกรรมงานไม้ที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่สุดของมอร์แกนอย่างหนึ่งซึ่งใช้เทคนิคการดัดโครง โดยใช้แม่แบบทับไม้แบบดั้งเดิม ผสมกับเทคนิคการขึ้นรูปด้วยความร้อนที่ทันสมัย
ถัดไปเป็นงานวิศวกรรมเครื่องยนต์และงานพ่นสี โดยแผนกทำสีของมอร์แกนสามารถผสมสีได้ราว 250,000 เฉดสี หลังจากนั้นจะเป็นงานคอนโซลและหุ้มเบาะ ซึ่งขั้นตอนการตกแต่งนี้จะเลือกใช้แต่หนังแท้และวัสดุที่ถูกคัดเลือกมาแล้วอย่างดี เย็บประกอบด้วยกรรมวิธีพิถีพิถันที่สุดทุกขั้นตอน หลังจากประกอบเสร็จรถทุกคันจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด รวมถึงการตรวจสอบรอยรั่วไหลของเชื้อเพลิง ระบบขับเคลื่อน สมรรถนะเครื่องยนต์ และปิดท้ายด้วยการทดลองวิ่งบนถนนจริง
รวมทั้งหมดแล้วรถยนต์แต่ละคันที่ถูกสร้างขึ้นจะมีคู่มือประจำรถ ซึ่งรวบรวมรายละเอียดการผลิตทุกขั้นตอนและบันทึกด้านคุณภาพ โดยคู่มือนี้จะติดไปกับตัวรถตลอด ตั้งแต่อยู่ในโรงงานจนไปถึงผู้จัดจำหน่าย ตัวแทน และจนส่งมอบต่อถึงตัวลูกค้าในตอนสุดท้าย
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี แบรนด์มอร์แกนได้รับความสนใจจากกลุ่มคนมากขึ้นจนบริษัทมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของมอร์แกน จากที่ครั้งหนึ่งบริษัทฯ เคยเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตรถสปอร์ตหายากที่ผลิตด้วยมือสไตล์คลาสสิก แต่ขณะนี้บริษัทได้หันมานำเสนอความหลากหลายและแปลกใหม่ในตัวสินค้ามากขึ้น
ความเป็นมาอันยาวนานของมอร์แกนถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกมากมาย นับตั้งแต่การเปิดตัว มอร์แกน รันอะเบาท์ (Morgan Runabout) รถยนต์สามล้อรุ่นแรกที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีตและกำลังจะถูกนำมาผลิตขึ้นใหม่อีกครั้ง รวมถึงพัฒนาการที่ล้ำหน้าของรถยนต์ในตระกูล เดอะ มอร์แกน คลาสสิก (The Morgan Classic) สปอร์ตคาร์ดีไซน์สไตล์วินเทจที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์สมรรถนะสูงเทียบชั้นรถแข่ง
หรือด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามและน่าดึงดูดของรถสปอร์ตอย่าง มอร์แกน แอโรแมกซ์ (Morgan AeroMax) และ มอร์แกน แอโร ซูเปอร์สปอร์ต (Morgan Aero SuperSports) ไปจนถึงการนำเสนอความหรูหราผสานเทคโนโลยีอากาศยานล่าสุดอย่าง มอร์แกน เอเวอร์จีที (Morgan EvaGT) ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2012 รวมถึงประวัติการคว้าชัยชนะในการแข่งขันระดับโลกอีกหลายรายการ
สำหรับปี 2010 ที่ผ่านมา เป็นปีที่มอร์แกนมีอายุครบ 100 ปี ภายใต้ชื่อ “มอร์แกน” รถทุกคันจะมีความโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สุดคลาสสิก มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ควบคู่ไปกับการเลือกใช้วัสดุชั้นยอด ผสานกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย จนกลายเป็นรถในฝันของชนชั้นสูงและผู้มีชื่อเสียงทั่วโลกมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม และได้รับยกย่องว่าเป็นที่สุดของยนตรกรรมอังกฤษจวบจนถึงปัจจุบัน