รถยนต์ครอบครัวรุ่นดังของซูซูกิอย่าง คิซาชิ มาพร้อมกับสีสันใหม่ของการขับเคลื่อนอีก เพราะหลังจากที่เปิดตัวเวอร์ชัน EcoCharge Concept ออกมาที่งานนิวยอร์ก มอเตอร์โชว์ 2011 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้ว ยังมีข่าวว่าต้นแบบรุ่นนี้อาจจะมีการผลิตขายจริงในอนาคต เพราะว่าตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คิซาชิ EcoCharge Concept เป็นการนำเวอร์ชันปกติของ D-Car รุ่นนี้มาเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะในแง่ของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้รูปแบบ Gas-Electric หรือการทำงานในระบบไฮบริด ซึ่งในปัจจุบัน ซูซูกิยังไม่มีรถยนต์รุ่นไหนติดตั้งเทคโนโลยีนี้ในการทำตลาด
‘เรากำลังศึกษาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี Gas-Electric เพื่อมองหาทางออกในการนำเสนอทางเลือกของการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน โดยที่ไม่ต้องสูญเสียความสนุกสนานในการใช้งาน โดย คิซาชิ EcoCharge Concept ได้รับการพัฒนาเพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากรุ่นปกติได้ถึง 25% สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวันโดยที่ยังคงประโยชน์ใช้สอยและสัมผัสที่ได้รับจากคิซาชิรุ่นปกติ’ สตีฟ ยูนาน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดรถยนต์และการวางแผนผลิตภัณฑ์ของซูซูกิ อเมริกาเหนือกล่าว
ประเด็นหลักของตัวรถคือ การออกแบบระบบขับเคลื่อน โดยที่ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส J20Bแบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี รับหน้าที่ในการขับเคลื่อน ซึ่งกำลังที่ผลิตออกมาได้อยู่ที่ 144 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.6 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบ/นาที และใช้เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะในการส่งกำลังสู่ล้อหน้า
สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพิ่มเข้ามาเป็นแบบ 15 แรงม้า ที่ 1,000-2,200 รอบ/นาที ส่วนอีกตัวเป็นมอเตอร์สำหรับชาร์จกระแสไฟฟ้า มีกำลัง 15 กิโลวัตต์ ที่ 1,570-3,180 รอบ/นาที โดยกระแสไฟฟ้าที่ถูกผลิตได้จะถูกส่งไปที่แบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ที่มีขนาด 115 โวลต์ และ 0.5 kWH ระบายความร้อนด้วยอากาศ
มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ในการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในระบบ รวมถึงการช่วยขับเคลื่อนในบางจังหวะ เช่นการเร่งแซง และยังมีระบบต่างๆ ที่รถยนต์ไฮบริดพึงมี เช่น ระบบดับและสตาร์ทเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ ตามด้วยการตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในระหว่างที่ถอนคันเร่ง และการใช้ยางแบบที่มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน
แฟนๆ ของซูซูกิที่กำลังเฝ้ารอเวอร์ชั่นไฮบริดที่เน้นความประหยัดน้ำมันจากรถยนต์แบรนด์นี้ ก็เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะแม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าจะผลิตขายจริงหรือไม่ แต่ดูแล้ว โอกาสมีค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการผลิตมาเพื่อรุกตลาดที่ชอบรถยนต์ไฮบริดอย่างสหรัฐอเมริกา