ข่าวในประเทศ - สแตนเลย์ ทุ่ม 2.5พันล้านบาท ขยายโรงงานโคมไฟรถยนต์ หลังออเดอร์ล้นทะลัก หวังเพิ่มกำลังการผลิตอีก 20 - 30% รับกระแสอีโคคาร์ มาแรง พร้อมตั้งเป้าปีนี้เติบโตสูง 10% แม้จะหวั่นเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจโลก ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงนี้ แต่คาดหวังหลังเลือกตั้งเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น
นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า ผู้ผลิตชุดอุปกรณ์ส่องสว่างยานยนต์รายใหญ่ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงซึ่งดูได้จากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่กลุ่มสแตนเลย์ยังคงให้ความสำคัญต่อตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง บวกกับปีนี้มีความพิศษตรงที่บริษัทครบรอบ 30 ปี จึงมีการวางแผนขยายธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยเตรียมขยายโรงงานผลิตโคมไฟรถยนต์ภายใต้แบรนด์ “เรย์บริค” โดยจับที่ลูกค้ากลุ่มมอเตอร์สปอร์ตที่ชอบความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพและดีไซน์ นอกจากนี้ยังเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนทีมแข่งในนาม “เรย์บริค” ลงแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การขยายโรงงานเพิ่มจะใช้เงินลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะผลิตโคมไฟรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และสามารถปรับกำลังการผลิตได้ทั้งนี้ขึ้นยู่กับขนาดของสินค้า สำหรับกลุ่มลูกค้ายังเป็นกลุ่มเดิมคือบริษัทรถยนต์ที่เตรียมผลิตรถอีโคคาร์ โดย บริษัทได้รับออเดอร์ประมาณ 90 % ของปริมาณรถยนต์ที่ออกสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็น นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ และโตโยต้า รวมถึงส่วนของกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กในกลุ่มซิตี้คาร์
“บริษัทได้มีการวางแผนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และซื้อที่ดินบริเวณติดกับโรงงานเดิมเพิ่มอีก 60 ไร่ รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมด 160 ไร่ โดยใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินไป 400 ล้านบาท ส่วนงบอีก 2,500 ล้านบาท จะนำไปลงทุนในเรื่องของการซื้ออุปกรณ์เครื่องจักร คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จภายในปีนี้”
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจช่วงนี้นายอภิชาตกล่าวเพิ่มเติมว่ายังมีความเสี่ยงต้องติดตาม 3 ด้าน ได้แก่ ค่าเงินบาท , การเมือง และเศรษฐกิจโลก อันเนื่องมาจากปัญหาวิกฤติหนี้สินในยุโรป อย่างไรก็ตามบริษัทฯเชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีปัญหาจากภัยธรรมชาติแต่ก็ส่งผลในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ
“ขณะที่ปัจจัยทางการเมือง การออกมาชุมนุมของกลุ่มต่างๆสร้างความหวาดหวั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่การดำเนินนโยบายของภาครัฐก็เป็นเรื่องที่ถูกจับตาและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เราคงต้องจับตาดูสถานการณ์ว่าหลังจากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วว่าพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงข้างมากจะช่วยลดกระแสความขัดแย้งได้มากน้อยเพียงใดซึ่งจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและการลงทุน“
ส่วนเป้ายอดขายในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมา5-10 % (ปี 2553 มีมูลค่า 225 ล้านบาท) หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 25 % เมื่อเทียบกับปี 2552 ส่วนกำไรสุทธิจะเติบโตสอดคล้องกับรายได้ โดยการเติบโตมาจากกลุ่มลูกค้าเดิมและออเดอร์จากรถยนต์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะอีโคคาร์
บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้าเป็นผู้ผลิตโคมไฟหน้า โคมไฟท้าย หลอดไฟ รถยนต์และรถจักรยานยนต์ผลิตแม่พิมพ์ โดยโคมไฟมีกำลังผลิต 40 ล้านชิ้นต่อปี หลอดไฟ 113 ล้านชิ้นต่อปี และแม่พิมพ์ 400 ชิ้นต่อปี ที่สำคัญสแตนเลย์เป็นเจ้าตลาดโคมไฟรถจักรยานยนต์ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 95 % และรถยนต์ 60 % สินค้าที่ผลิตได้จะจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศ 85 % ที่เหลือ 15 % เป็นการส่งอออกและจำหน่ายในรูปอะไหล่ต่างๆ
นายอภิชาต ลี้อิสสระนุกูล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า ผู้ผลิตชุดอุปกรณ์ส่องสว่างยานยนต์รายใหญ่ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงซึ่งดูได้จากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่กลุ่มสแตนเลย์ยังคงให้ความสำคัญต่อตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง บวกกับปีนี้มีความพิศษตรงที่บริษัทครบรอบ 30 ปี จึงมีการวางแผนขยายธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยเตรียมขยายโรงงานผลิตโคมไฟรถยนต์ภายใต้แบรนด์ “เรย์บริค” โดยจับที่ลูกค้ากลุ่มมอเตอร์สปอร์ตที่ชอบความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพและดีไซน์ นอกจากนี้ยังเข้าไปเป็นผู้สนับสนุนทีมแข่งในนาม “เรย์บริค” ลงแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การขยายโรงงานเพิ่มจะใช้เงินลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งจะผลิตโคมไฟรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และสามารถปรับกำลังการผลิตได้ทั้งนี้ขึ้นยู่กับขนาดของสินค้า สำหรับกลุ่มลูกค้ายังเป็นกลุ่มเดิมคือบริษัทรถยนต์ที่เตรียมผลิตรถอีโคคาร์ โดย บริษัทได้รับออเดอร์ประมาณ 90 % ของปริมาณรถยนต์ที่ออกสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็น นิสสัน ฮอนด้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ และโตโยต้า รวมถึงส่วนของกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กในกลุ่มซิตี้คาร์
“บริษัทได้มีการวางแผนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และซื้อที่ดินบริเวณติดกับโรงงานเดิมเพิ่มอีก 60 ไร่ รวมเป็นพื้นที่ทั้งหมด 160 ไร่ โดยใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินไป 400 ล้านบาท ส่วนงบอีก 2,500 ล้านบาท จะนำไปลงทุนในเรื่องของการซื้ออุปกรณ์เครื่องจักร คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จภายในปีนี้”
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจช่วงนี้นายอภิชาตกล่าวเพิ่มเติมว่ายังมีความเสี่ยงต้องติดตาม 3 ด้าน ได้แก่ ค่าเงินบาท , การเมือง และเศรษฐกิจโลก อันเนื่องมาจากปัญหาวิกฤติหนี้สินในยุโรป อย่างไรก็ตามบริษัทฯเชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีปัญหาจากภัยธรรมชาติแต่ก็ส่งผลในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ
“ขณะที่ปัจจัยทางการเมือง การออกมาชุมนุมของกลุ่มต่างๆสร้างความหวาดหวั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่การดำเนินนโยบายของภาครัฐก็เป็นเรื่องที่ถูกจับตาและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เราคงต้องจับตาดูสถานการณ์ว่าหลังจากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วว่าพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงข้างมากจะช่วยลดกระแสความขัดแย้งได้มากน้อยเพียงใดซึ่งจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและการลงทุน“
ส่วนเป้ายอดขายในปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตจากปีที่ผ่านมา5-10 % (ปี 2553 มีมูลค่า 225 ล้านบาท) หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 25 % เมื่อเทียบกับปี 2552 ส่วนกำไรสุทธิจะเติบโตสอดคล้องกับรายได้ โดยการเติบโตมาจากกลุ่มลูกค้าเดิมและออเดอร์จากรถยนต์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะอีโคคาร์
บริษัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้าเป็นผู้ผลิตโคมไฟหน้า โคมไฟท้าย หลอดไฟ รถยนต์และรถจักรยานยนต์ผลิตแม่พิมพ์ โดยโคมไฟมีกำลังผลิต 40 ล้านชิ้นต่อปี หลอดไฟ 113 ล้านชิ้นต่อปี และแม่พิมพ์ 400 ชิ้นต่อปี ที่สำคัญสแตนเลย์เป็นเจ้าตลาดโคมไฟรถจักรยานยนต์ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 95 % และรถยนต์ 60 % สินค้าที่ผลิตได้จะจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศ 85 % ที่เหลือ 15 % เป็นการส่งอออกและจำหน่ายในรูปอะไหล่ต่างๆ