ทั้งที่อยู่ในช่วงเข้าสู่หน้าฝนแต่ตลาดฟิล์มกรองแสงกลับร้อนระอุ เมื่อบิ๊กบอส “พิมพา ชลาลัย” ประธานบริหาร วี เค เอส กรุ๊ป ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสง “วี-คูล” ประกาศรุกตลาดครั้งใหญ่ หวังขยายส่วนแบ่งกว่า 30% จากมูลค่าโดยรวมที่สูงถึง 1,300 ล้านบาท ประเดิมอัดแคมเปญ “เก่าแลกใหม่” พร้อมส่งฟิล์มฯ 2 รุ่นล่าสุดเจาะกลุ่มพรีเมียม ตบท้ายลั่นขยายดีเลอร์เพิ่มอีก 10 ราย ภายในปีนี้
สถานการณ์ตลาดฟิล์มกรองแสงในปัจจุบัน
การที่เรารุกตลาดจริงจังในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์มีความคึกคักมากขึ้น แม้ช่วงไตรมาสที่ 2 จะสะดุดไปบ้างจากเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น แต่มองว่ายอดขายรถยนต์จะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งช่วงปลายปี โดยมียอดรวมอยู่ที่ 840,000-850,000 คัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีถึงตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่จะเติบโตจากปีก่อน 800 ล้านบาท ขยับขึ้นตามไปอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท
ตั้งเป้าส่วนแบ่งการขายเท่าไร
สำหรับปีนี้นับเป็นปีที่ 18 ของฟิล์มกรองแสงวี-คูล กับการสร้างแบรนด์และจัดจำหน่ายในเมืองไทย บริษัทฯ มีการทุ่มงบประมาณทางการตลาดไว้มากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% เป็น 30% จากมูลค่าโดยรวมทั้งหมด
เตรียมกลยุทธ์แผนการตลาดอย่างไร
อันดับแรกจากแคมเปญ “วี-คูล Trade-up” ลูกค้าสามารถนำรถยนต์ที่ติดฟิล์มเก่ายี่ห้อใดก็ได้มาแลกติดตั้งฟิล์มใหม่ของวี-คูล โดยคิดมูลค่าฟิล์มเดิมสำหรับรถเก๋ง 5,000 บาท และรถยนต์นั่งอเนกประสงค์เอสยูวีหรือเอ็มพีวี มูลค่า 7,000 บาท ซึ่งจะเริ่มรายการโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2554 ส่วนแคมเปญอื่นๆ ในอนาคตจะทยอยตามมาออกเร็วๆ นี้
เปิดตัวฟิล์มฯใหม่เจาะลูกค้ากลุ่มไหน
ต่อเนื่องกับการเปิดตัวฟิล์มกรองแสงใหม่ 2 รุ่นที่ใช้โลหะทองคำและเงินเคลือบทับกันมากสุดถึง 10 ชั้น ภายใต้ชื่อแพ็คเกจ “Solitaire Energy Package” ซึ่งเปรียบเสมือนเพชรเอกในการป้องกันความร้อนให้กับรถยนต์ของลูกค้า รุ่นแรกคือ “วี-คูล 55” มีคุณสมบัติพิเศษเคลือบโลหะซ้อนกัน 10 ชั้น ยอมให้แสงสว่างส่องผ่าน 58% ป้องกันรังสียูวีได้ 99% และรุ่นที่สอง “วี-คูล 30” มีการทับซ้อนที่ 9 ชั้น ให้แสงส่องผ่านได้ 36% และป้องกันรังสียูวีได้ 99% สนนราคาทั้งสองรุ่นเริ่มต้นระหว่าง 27,000-35,000 บาท จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ตามขนาดพื้นที่ของกระจก ทั้งนี้เพื่อเจาะเป้าหมายลูกค้าในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมที่มีราคาตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไป ซึ่งแยกเป็นสัดส่วน 10% จากตลาดโดยรวม
โครงการเร่งด่วนในปีนี้
สิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่คือ การเตรียมขยายผู้แทนจำหน่ายจากเดิมที่มีอยู่ทั่วประเทศทั้งหมด 40 ราย ตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นใหม่อีก 10 รายในปีนี้ ตลอดจนเตรียมปรับปรุงรูปแบบร้านดีลเลอร์ที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ 6 แห่ง ให้กลายเป็นช็อปมาตรฐานของวี-คูล หรือ Professional Shop ซึ่งมีอยู่แล้ว 6 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง ภายในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ด้านการพัฒนาฝีมือช่างติดตั้งฟิล์มกรองแสงของตัวแทนจำหน่าย เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเร็วๆ นี้ บริษัทจะนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาจัดอบรมให้ความรู้ ซึ่งมีดีลเลอร์ส่งช่างเข้าร่วมโครงการมากกว่า 30 ร้านค้า และมีช่างเข้าฝึกอบรมมากกว่า 60 คน คาดว่าประโยชน์ที่ได้รับนอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนเทคนิคการติดตั้งฟิล์มกรองแสงทั้งในและต่างประเทศแล้ว เราคิดว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อให้บริการในช่วงปลายปี ซึ่งตลาดรถยนต์จะกลับมาคึกคักและเติบโตอีกครั้ง
สถานการณ์ตลาดฟิล์มกรองแสงในปัจจุบัน
การที่เรารุกตลาดจริงจังในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์มีความคึกคักมากขึ้น แม้ช่วงไตรมาสที่ 2 จะสะดุดไปบ้างจากเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น แต่มองว่ายอดขายรถยนต์จะกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งช่วงปลายปี โดยมียอดรวมอยู่ที่ 840,000-850,000 คัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีถึงตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่จะเติบโตจากปีก่อน 800 ล้านบาท ขยับขึ้นตามไปอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท
ตั้งเป้าส่วนแบ่งการขายเท่าไร
สำหรับปีนี้นับเป็นปีที่ 18 ของฟิล์มกรองแสงวี-คูล กับการสร้างแบรนด์และจัดจำหน่ายในเมืองไทย บริษัทฯ มีการทุ่มงบประมาณทางการตลาดไว้มากกว่า 10 ล้านบาท เพื่อตั้งเป้าขยายส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20% เป็น 30% จากมูลค่าโดยรวมทั้งหมด
เตรียมกลยุทธ์แผนการตลาดอย่างไร
อันดับแรกจากแคมเปญ “วี-คูล Trade-up” ลูกค้าสามารถนำรถยนต์ที่ติดฟิล์มเก่ายี่ห้อใดก็ได้มาแลกติดตั้งฟิล์มใหม่ของวี-คูล โดยคิดมูลค่าฟิล์มเดิมสำหรับรถเก๋ง 5,000 บาท และรถยนต์นั่งอเนกประสงค์เอสยูวีหรือเอ็มพีวี มูลค่า 7,000 บาท ซึ่งจะเริ่มรายการโปรโมชันตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2554 ส่วนแคมเปญอื่นๆ ในอนาคตจะทยอยตามมาออกเร็วๆ นี้
เปิดตัวฟิล์มฯใหม่เจาะลูกค้ากลุ่มไหน
ต่อเนื่องกับการเปิดตัวฟิล์มกรองแสงใหม่ 2 รุ่นที่ใช้โลหะทองคำและเงินเคลือบทับกันมากสุดถึง 10 ชั้น ภายใต้ชื่อแพ็คเกจ “Solitaire Energy Package” ซึ่งเปรียบเสมือนเพชรเอกในการป้องกันความร้อนให้กับรถยนต์ของลูกค้า รุ่นแรกคือ “วี-คูล 55” มีคุณสมบัติพิเศษเคลือบโลหะซ้อนกัน 10 ชั้น ยอมให้แสงสว่างส่องผ่าน 58% ป้องกันรังสียูวีได้ 99% และรุ่นที่สอง “วี-คูล 30” มีการทับซ้อนที่ 9 ชั้น ให้แสงส่องผ่านได้ 36% และป้องกันรังสียูวีได้ 99% สนนราคาทั้งสองรุ่นเริ่มต้นระหว่าง 27,000-35,000 บาท จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ตามขนาดพื้นที่ของกระจก ทั้งนี้เพื่อเจาะเป้าหมายลูกค้าในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมที่มีราคาตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไป ซึ่งแยกเป็นสัดส่วน 10% จากตลาดโดยรวม
โครงการเร่งด่วนในปีนี้
สิ่งที่เรากำลังดำเนินการอยู่คือ การเตรียมขยายผู้แทนจำหน่ายจากเดิมที่มีอยู่ทั่วประเทศทั้งหมด 40 ราย ตั้งเป้าจะเพิ่มขึ้นใหม่อีก 10 รายในปีนี้ ตลอดจนเตรียมปรับปรุงรูปแบบร้านดีลเลอร์ที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ 6 แห่ง ให้กลายเป็นช็อปมาตรฐานของวี-คูล หรือ Professional Shop ซึ่งมีอยู่แล้ว 6 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง ภายในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ด้านการพัฒนาฝีมือช่างติดตั้งฟิล์มกรองแสงของตัวแทนจำหน่าย เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเร็วๆ นี้ บริษัทจะนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาจัดอบรมให้ความรู้ ซึ่งมีดีลเลอร์ส่งช่างเข้าร่วมโครงการมากกว่า 30 ร้านค้า และมีช่างเข้าฝึกอบรมมากกว่า 60 คน คาดว่าประโยชน์ที่ได้รับนอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนเทคนิคการติดตั้งฟิล์มกรองแสงทั้งในและต่างประเทศแล้ว เราคิดว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมพร้อมเพื่อให้บริการในช่วงปลายปี ซึ่งตลาดรถยนต์จะกลับมาคึกคักและเติบโตอีกครั้ง