Hot Hatch ตัวแรงจากค่ายเรโนลต์ที่พกความแรงและความเร้าใจมาเต็มกระเป๋า ซึ่งเวอร์ชัน RS Trophy ถือเป็นการนำกลิ่นอายจากสนามแข่งทางเรียบที่เรโนลต์พัฒนารุ่นเมกานเข้าร่วมการแข่งขันรายการทัวริงคาร์ชั้นนำในยุโรป เช่นเดียวกับการแข่งขัน One make race ที่ใช้คอมแพ็กค์คาร์รุ่นนี้เป็นพื้นฐาน โดยมีการผลิตขายในตลาดด้วยจำนวนจำกัด ซึ่งในเวอร์ชันปี 2011 นี้มีจำนวนการผลิตเพียง 500 คันเท่านั้น
แน่นอนว่างานนี้ไม่ได้เป็นแค่การผลิตเวอร์ชันพิเศษที่เน้นความสวยสะดุดตาเท่านั้น แต่ถือเป็น Top of the Line สำหรับสายพันธุ์เมกานเลยก็ว่าได้ ด้วยความแรงและความเร้าใจที่เหนือระดับจากรุ่น RS ซึ่งเป็นรหัสสำหรับเมกาน โดยในเวอร์ชัน Trophy เป็นการนำเมกาน RS มาแต่งเพิ่มความแรง โดยพุ่งเป้าไปที่การเพิ่มสมรรถนะ และความหนึบในการขับ
ประเด็นหลักคือ การเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบกับการปรับบูสต์เทอร์โบขึ้นอีก 0.2 บาร์มาอยู่ที่ 2.5 บาร์ ทำให้มีกำลังที่เพิ่มขึ้นอีก 15 แรงม้าจากรุ่น RS มาอยู่ที่ 265 แรงม้า เช่นเดียวกับแรงบิดสูงสุดขยับขึ้นอีกประมาณ 2 กก.-ม. มาอยู่ที่ 36.7 กก.-ม. โดยถูกส่งออกมาในลักษณะของ Flat Torque ที่รอบระหว่าง 3,000-5,000 รอบ/นาที ซึ่งในแง่ของอัตราส่วนแรงม้าต่อความจุ 1 ลิตร เครื่องยนต์บล็อกนี้ทำออกมาได้ 132.5 แรงม้าต่อลิตร และ 5.09 กิโลกรัมต่อ 1 แรงม้าเมื่อพิจารณาจากในแง่ของแรงม้าต่อน้ำหนักรวมของตัวรถ
สมรรถนะรวดเร็วทันใจ ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงดีขึ้น 0.1 วินาทีมาอยู่ที่ 6 วินาที โดยที่อัตราเร่ง 0-1 กิโลเมตรลดลงอีก 0.3 วินาทีเป็น 25.4 วินาที และความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 4 กิโลเมตร/ชั่วโมงเป็น 254 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความประหยัดน้ำมันอยู่ที่ 12.2 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการทดสอบในรูปแบบผสมผสานตามมาตรฐานยุโรป
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกมีการอัพเกรดจากรุ่นปกติกันพอประมาณ โดยเฉพาะการเปลี่ยนไฟหน้าใหม่ มี LED ทำหน้าที่เป็น Daylime Running Light ชุดสเกิร์ตรอบคันเพื่อความสวยและสปอร์ตยิ่งขึ้น ส่วนแผ่นหลังคาก็ตัดกับสีตัวถังซึ่งมีให้เลือก 3 สี คือ เหลือง, ขาว และเทาอย่างดุดันด้วยโทนสีดำ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์หรือเปล่า ? บวกกับล้อแม็กขนาด 19 นิ้ว ส่วนฝาวาล์วของเครื่องยนต์ที่มาพร้อมโลโก R.S. ขึ้นอยู่กับตลาดที่ส่งไปขายว่าจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือว่าออพชั่น
ภายในสปอร์ตไม่แพ้กันกับเบาะนั่งสปอร์ตจาก Recaro มีให้เลือกเช่นกันว่าจะเป็นแบบหุ้มผ้า หรือว่าหุ้มหนัง พร้อมกับเพลตลำดับการผลิตจากจำนวนการผลิตทั้งหมด หน้าจอมอนิเตอร์สำหรับแสดงผลการทำงานของระบบต่างๆ เช่นเดียวกับโหมดการทำงานต่างๆ เช่น การจับเวลา และระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ราคาตั้งเอาไว้ที่ 35,500 ยูโร ในเยอรมนี หรือ 1.56 ล้านบาท และมีการผลิตออกมาแค่ 500 คันเท่านั้น โดยแบ่งออกมาทำตลาดต่างๆ ในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส, อังกฤษ, เยอรมนี, เบลเยี่ยม, โปรตุเกส, อิตาลี ฯลฯ