“มิตซูบิชิ” ฉวยจังหวะคู่แข่งมีปัญหาการผลิต เดินหน้ารุกตลาดและปั๊มยอดขาย จับมือบริษัทแม่เร่งการผลิตให้เป็นไปตามแผน หลังจากยอดเดือนเมษายนพุ่งสวนตลาด ขณะที่ค่ายคู่แข่งรถญี่ปุ่นร่วงระนาว จากปัญหาไม่มีรถส่งมอบ จึงรีบตีฆ้องร้องป่าวประกาศรับจองและส่งมอบรถตามปกติ พร้อมเพิ่มแรงจูงใจอัดแคมเปญให้ลูกค้าเลือกตามชอบทุกรุ่น หลังจากหั่นราคา “มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” ในรุ่น 1.8 ลิตรลงกว่า 2-3 หมื่นบาทมาแล้ว ทั้งที่ยี่ห้ออื่นๆ ส่วนใหญ่ชะลอการทำตลาดชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญและโฆษณาประชาสัมพันธ์
ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เตรียมแต่งหน้าทาปาก “มิตซูบิชิ ไทรทัน” ลงสู้ศึกเดือดตลาดปิกอัพ ที่ช่วงปลายปีจะมีการปรับโฉมใหม่ 4 ยี่ห้อ และอีก 1 บิ๊กไมเนอร์เชนจ์ ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ มองโอกาสทอง 3 เดือน จี้มิตซูบิชิเร่งรุกจัดกิจกรรมการตลาด เพราะไม่เพียงคู่แข่งมีปัญหา ยังเป็นช่วงเลือกตั้งใหญ่ส.ส. ซึ่งจะทำให้ยอดขายพุ่งกว่าสภาวะปกติ 20% จึงต้องเตรียมแผนการผลิตให้พร้อมส่งมอบรถมากที่สุด
หลายค่ายรถญี่ปุ่นในไทยเริ่มฟื้นการผลิตกลับมาอย่างเร่งด่วน หลังจากเจอผลสะเทือนจากมหาตภัยสึนามิที่ญี่ปุ่น ดังจะเห็นได้จากการประกาศของ “มาสด้า” ที่กำลังเร่งปรับการผลิต ทันทีที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ในการหาชิ้นส่วนมาป้อนให้ เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” ที่ลดกำลังการผลิตมากสุด 70% ล่าสุดได้ร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนแก้ไขปัญหากำลังการผลิต จนสามารถกลับมาดำเนินการผลิตรถเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะเริ่มการผลิตได้ในระดับปกติ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม แม้หลายค่ายรถจะเริ่มกลับมาฟื้นกำลังการผลิตโดยเร็ว แต่กว่าสถานการณ์ตลาดจะกลับสู่สภาวะปกติ โดยเฉพาะการส่งมอบรถให้กับลูกค้า คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 1-2 เดือนหลังจากเริ่มการผลิต ทำให้ช่วงนี้ยังเป็นโอกาสทองของค่ายรถที่ไม่ได้ผลกระทบ หรือโดนบ้างเพียงเล็กน้อย อย่างค่าย “มิตซูบิชิ” ที่ฉวยจังหวะเร่งรุกตลาดและผลักดันยอดขายอย่างเต็มที่
ทั้งนี้สิ่งที่ยืนยันจังหวะทองของมิตซูบิชิ เห็นได้จากการตัวเลขยอดขายค่ายรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะตกลงในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพราะไม่สามารถผลิตและส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ แต่มิตซูบิชิกลับมียอดขายเพิ่มขึ้น 85% และรถแทบทุกรุ่นต่างเติบโตกันหมด โดยแบ่งเป็นปิกอัพมิตซูบิชิ ไทรทัน 3,128 คัน เติบโต 151% ตามมาด้วย ปาเจโร สปอร์ต 1,411 คัน เพิ่มขึ้น 49% ส่วนแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มียอดขายอยู่ที่ 299 คัน เติบโตขึ้น 57% และรุ่นแลนเซอร์ 1.6 ลิตร มียอดขายอยู่ที่ 368 คัน เติบโต 13% และสเปซ แวกอน มียอดขายอยู่ที่ 73 คัน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า มิตซูบิชิในไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น หรือมีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นอาจจะเป็นการรับรู้กันเพียงภายใน เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยรับทราบทั่วกัน มิตซูบิชิจึงเป็นค่ายแรกที่ออกมายืนยัน พร้อมที่จะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้อย่างปกติ
“จากการตอบรับมากขึ้นของผู้บริโภคชาวไทย ทำให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในประเทศไทย รวมทั้งให้การสนับสนุนการผลิตรถยนต์ ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอย่างเต็มที่ ส่งผลให้การผลิตรถสามารถดำเนินต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้ เราจึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก ได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ผู้จำหน่ายมิตซูบิชิจะยังคงสามารถดำเนินกิจกรรมการขายและเปิดรับจองรถตามปกติ”
นั่นเป็นแถลงการณ์ของ “โนบุยูกิ มูราฮาชิ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งยืนยันการส่งมอบรถเป็นไปตามปกติ ส่วนระยะเวลาส่งมอบขึ้นอยู่กับปริมาณสต็อกรถของผู้จำหน่ายแต่ละราย โดยจากรายงานของมิตซูบิชิบางรุ่นจะส่งมอบได้ทันที หรือรอแค่เดือนเดียว แต่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากอย่างปิกอัพไทรทัน ซีเอ็นจี หรือมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อาจจะต้องรอ 2-3 เดือน
นอกจากการยืนยันความพร้อมในการผลิตแล้ว มิตซูบิชิยังรุกตลาดอย่างหนัก ขณะที่คู่แข่งส่วนใหญ่ระงับการทำตลาด และโฆษณาประชาสัมพันธ์ช่วงนี้ แต่มิตซูบิชิยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมตามโชว์รูมทั่วประเทศและประชาสัมพันธ์เช่นเดิม โดยเฉพาะการจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย
เห็นได้จากเดือนพฤษภาคมนี้ มิตซูบิชิได้มอบข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่ 1.99 % สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ แลนเซอร์ 1.6 ลิตร รวมไปถึงมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ในส่วนของรถยนต์มิตซูบิชิไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ และดับเบิ้ลแค็บ พลัส รับดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่ 1.49% ขณะที่สเปซ แวกอน รับดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่เพียง 0.99% โดยทุกรุ่นยังได้รับฟรี “ไดมอนด์ อินชัวร์รันซ์” ประกันภัยชั้น 1 พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงนาน 1 ปี โดยข้อเสนอดังกล่าวจะมีตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
ในส่วนของรถยนต์ใหม่ มิตซูบิชิเพิ่งปรับแต่งในรุ่น มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไป โดยเฉพาะรุ่น 1.8 ลิตร ที่ปรับราคาลงมาอีกกว่า 2-3 หมื่นบาท ซึ่งมิตซูบิชิให้เหตุผลที่สามารถลดราคาลงได้ เพราะมีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ปิกอัพก็ได้มีการเพิ่มทางเลือก ด้วยการส่งรุ่นเครื่องยนต์ซีเอ็นจีในปิกอัพไทรทัน ดับเบิลแค็บ พลัส มาเสริมรุ่นซิงเกิลแค็บ และเมกะแค็บ ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวช่วงไตรมาสสุดท้าย หรือประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ มิตซูบิชิจะทำการปรับโฉมแต่งหน้าทาปากให้กับปิกอัพมิตซูบิชิ ไทรทัน เพื่อรับมือกับตลาดปิกอัพที่จะแข่งขันรุนแรงช่วงปลายปีนี้ เพราะจะมีปิกอัพโมเดลเชนจ์แนะนำสู่ตลาดถึง 4 รุ่น ได้แก่ อีซูซุ ดีแมคซ์, เชฟโรเลต โคโรลาโด, ฟอร์ด เรนเจอร์ และมาสด้า บีที-50 ซึ่งยังไม่รวมการไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ปิกอัพ โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้อีกด้วย
สำหรับการปรับโฉมของไทรทันปลายปีนี้ แม้จะไม่ไช่การบิ๊กไมเนอร์เชนจ์เหมือนโตโยต้า วีโก้ แต่มิตซูบิชิยืนยันผู้บริโภคจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า เปลือกกันชน หรือภายในที่มีการเพิ่มอุปกรณ์มากขึ้นเมื่อบวกกับทางเลือกที่หลากหลาย โดยเฉพาะปิกอัพซีเอ็นจีจึงเชื่อว่าจะสามารถรักษายอดขายไว้ได้แน่นอน ขณะที่เครื่องยนต์ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะเพิ่งแนะนำเครื่องยนต์ 2.5 วีจี เทอร์โบสู่ตลาดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นับว่า “มิตซูบิชิ” ชิงรุกตลาดได้ถูกจังหวะและเวลา แถมยังมีหมัดเด็ดเจ้าโกลบอล สมอล หรือว่าที่อีโคคาร์ ที่จะถูกส่งออกมาถล่มคู่แข่งในช่วงต้นปีหน้าอีก ทำให้เป้าหมายมิตซูบิชิที่จะครองส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ 10% ในตลาดรถไทย อาจจะเร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ปี 2015 ก็เป็นได้?!
ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เตรียมแต่งหน้าทาปาก “มิตซูบิชิ ไทรทัน” ลงสู้ศึกเดือดตลาดปิกอัพ ที่ช่วงปลายปีจะมีการปรับโฉมใหม่ 4 ยี่ห้อ และอีก 1 บิ๊กไมเนอร์เชนจ์ ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ มองโอกาสทอง 3 เดือน จี้มิตซูบิชิเร่งรุกจัดกิจกรรมการตลาด เพราะไม่เพียงคู่แข่งมีปัญหา ยังเป็นช่วงเลือกตั้งใหญ่ส.ส. ซึ่งจะทำให้ยอดขายพุ่งกว่าสภาวะปกติ 20% จึงต้องเตรียมแผนการผลิตให้พร้อมส่งมอบรถมากที่สุด
หลายค่ายรถญี่ปุ่นในไทยเริ่มฟื้นการผลิตกลับมาอย่างเร่งด่วน หลังจากเจอผลสะเทือนจากมหาตภัยสึนามิที่ญี่ปุ่น ดังจะเห็นได้จากการประกาศของ “มาสด้า” ที่กำลังเร่งปรับการผลิต ทันทีที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ในการหาชิ้นส่วนมาป้อนให้ เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” ที่ลดกำลังการผลิตมากสุด 70% ล่าสุดได้ร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนแก้ไขปัญหากำลังการผลิต จนสามารถกลับมาดำเนินการผลิตรถเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจะเริ่มการผลิตได้ในระดับปกติ ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคมเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม แม้หลายค่ายรถจะเริ่มกลับมาฟื้นกำลังการผลิตโดยเร็ว แต่กว่าสถานการณ์ตลาดจะกลับสู่สภาวะปกติ โดยเฉพาะการส่งมอบรถให้กับลูกค้า คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 1-2 เดือนหลังจากเริ่มการผลิต ทำให้ช่วงนี้ยังเป็นโอกาสทองของค่ายรถที่ไม่ได้ผลกระทบ หรือโดนบ้างเพียงเล็กน้อย อย่างค่าย “มิตซูบิชิ” ที่ฉวยจังหวะเร่งรุกตลาดและผลักดันยอดขายอย่างเต็มที่
ทั้งนี้สิ่งที่ยืนยันจังหวะทองของมิตซูบิชิ เห็นได้จากการตัวเลขยอดขายค่ายรถญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จะตกลงในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพราะไม่สามารถผลิตและส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้ แต่มิตซูบิชิกลับมียอดขายเพิ่มขึ้น 85% และรถแทบทุกรุ่นต่างเติบโตกันหมด โดยแบ่งเป็นปิกอัพมิตซูบิชิ ไทรทัน 3,128 คัน เติบโต 151% ตามมาด้วย ปาเจโร สปอร์ต 1,411 คัน เพิ่มขึ้น 49% ส่วนแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ มียอดขายอยู่ที่ 299 คัน เติบโตขึ้น 57% และรุ่นแลนเซอร์ 1.6 ลิตร มียอดขายอยู่ที่ 368 คัน เติบโต 13% และสเปซ แวกอน มียอดขายอยู่ที่ 73 คัน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า มิตซูบิชิในไทยแทบไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น หรือมีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นอาจจะเป็นการรับรู้กันเพียงภายใน เพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยรับทราบทั่วกัน มิตซูบิชิจึงเป็นค่ายแรกที่ออกมายืนยัน พร้อมที่จะส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้อย่างปกติ
“จากการตอบรับมากขึ้นของผู้บริโภคชาวไทย ทำให้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในประเทศไทย รวมทั้งให้การสนับสนุนการผลิตรถยนต์ ณ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอย่างเต็มที่ ส่งผลให้การผลิตรถสามารถดำเนินต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้ เราจึงมั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก ได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ผู้จำหน่ายมิตซูบิชิจะยังคงสามารถดำเนินกิจกรรมการขายและเปิดรับจองรถตามปกติ”
นั่นเป็นแถลงการณ์ของ “โนบุยูกิ มูราฮาชิ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งยืนยันการส่งมอบรถเป็นไปตามปกติ ส่วนระยะเวลาส่งมอบขึ้นอยู่กับปริมาณสต็อกรถของผู้จำหน่ายแต่ละราย โดยจากรายงานของมิตซูบิชิบางรุ่นจะส่งมอบได้ทันที หรือรอแค่เดือนเดียว แต่รุ่นที่ได้รับความนิยมมากอย่างปิกอัพไทรทัน ซีเอ็นจี หรือมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต อาจจะต้องรอ 2-3 เดือน
นอกจากการยืนยันความพร้อมในการผลิตแล้ว มิตซูบิชิยังรุกตลาดอย่างหนัก ขณะที่คู่แข่งส่วนใหญ่ระงับการทำตลาด และโฆษณาประชาสัมพันธ์ช่วงนี้ แต่มิตซูบิชิยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมตามโชว์รูมทั่วประเทศและประชาสัมพันธ์เช่นเดิม โดยเฉพาะการจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย
เห็นได้จากเดือนพฤษภาคมนี้ มิตซูบิชิได้มอบข้อเสนอพิเศษดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่ 1.99 % สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ แลนเซอร์ 1.6 ลิตร รวมไปถึงมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ในส่วนของรถยนต์มิตซูบิชิไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ ขับเคลื่อน 2 ล้อ และดับเบิ้ลแค็บ พลัส รับดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่ 1.49% ขณะที่สเปซ แวกอน รับดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้นที่เพียง 0.99% โดยทุกรุ่นยังได้รับฟรี “ไดมอนด์ อินชัวร์รันซ์” ประกันภัยชั้น 1 พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงนาน 1 ปี โดยข้อเสนอดังกล่าวจะมีตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
ในส่วนของรถยนต์ใหม่ มิตซูบิชิเพิ่งปรับแต่งในรุ่น มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์เข้าไป โดยเฉพาะรุ่น 1.8 ลิตร ที่ปรับราคาลงมาอีกกว่า 2-3 หมื่นบาท ซึ่งมิตซูบิชิให้เหตุผลที่สามารถลดราคาลงได้ เพราะมีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ปิกอัพก็ได้มีการเพิ่มทางเลือก ด้วยการส่งรุ่นเครื่องยนต์ซีเอ็นจีในปิกอัพไทรทัน ดับเบิลแค็บ พลัส มาเสริมรุ่นซิงเกิลแค็บ และเมกะแค็บ ที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภค เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวช่วงไตรมาสสุดท้าย หรือประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ มิตซูบิชิจะทำการปรับโฉมแต่งหน้าทาปากให้กับปิกอัพมิตซูบิชิ ไทรทัน เพื่อรับมือกับตลาดปิกอัพที่จะแข่งขันรุนแรงช่วงปลายปีนี้ เพราะจะมีปิกอัพโมเดลเชนจ์แนะนำสู่ตลาดถึง 4 รุ่น ได้แก่ อีซูซุ ดีแมคซ์, เชฟโรเลต โคโรลาโด, ฟอร์ด เรนเจอร์ และมาสด้า บีที-50 ซึ่งยังไม่รวมการไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ปิกอัพ โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้อีกด้วย
สำหรับการปรับโฉมของไทรทันปลายปีนี้ แม้จะไม่ไช่การบิ๊กไมเนอร์เชนจ์เหมือนโตโยต้า วีโก้ แต่มิตซูบิชิยืนยันผู้บริโภคจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า เปลือกกันชน หรือภายในที่มีการเพิ่มอุปกรณ์มากขึ้นเมื่อบวกกับทางเลือกที่หลากหลาย โดยเฉพาะปิกอัพซีเอ็นจีจึงเชื่อว่าจะสามารถรักษายอดขายไว้ได้แน่นอน ขณะที่เครื่องยนต์ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร เพราะเพิ่งแนะนำเครื่องยนต์ 2.5 วีจี เทอร์โบสู่ตลาดเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นับว่า “มิตซูบิชิ” ชิงรุกตลาดได้ถูกจังหวะและเวลา แถมยังมีหมัดเด็ดเจ้าโกลบอล สมอล หรือว่าที่อีโคคาร์ ที่จะถูกส่งออกมาถล่มคู่แข่งในช่วงต้นปีหน้าอีก ทำให้เป้าหมายมิตซูบิชิที่จะครองส่วนแบ่งการตลาด หรือแชร์ 10% ในตลาดรถไทย อาจจะเร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ปี 2015 ก็เป็นได้?!