นับถอยหลังเหลืออีกเพียง 2 วัน งานแสดงรถยนต์รายการใหญ่หัวปี “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2011” จะรูดม่านเปิดเวทีให้ผู้สนใจและชื่นชอบรถยนต์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เข้าไปชมและสัมผัสกัน ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม - 5 เมษายนนี้ ซึ่งครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดงานใหม่ ย้ายไปยังอาคารชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี แต่ความยิ่งใหญ่ของงานยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะรถยนต์โมเดลใหม่ที่ค่ายรถนำมาเปิดตัวเรียกยอดขายในงาน มีให้เลือกครอบคลุมทุกประเภททุกความต้องการ ตั้งแต่รถขนาดเล็กอย่างอีโคคาร์ เก๋งคอมแพ็กต์ รถขนาดกลาง รถหรูหรา สปอร์ตพันธุ์แรงไปจนถึงรถอเนกประสงค์ ที่เปิดราคาออกมาให้เลือกเริ่มที่กว่า 3 แสนบาท ไปจนถึงรถราคาร่วม 30 ล้านบาท ส่วนจะมีรุ่นไหนยี่ห้อใดบ้าง? เชิญติดตาม “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” จะพาไปสำรวจรถใหม่แต่ละบูธตามข้างล่างนี่เลย…
ไฮไลต์ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คงต้องยกให้กับ “ฮอนด้า บริโอ้”(Honda Brio) อีโคคาร์คันที่สองของโลก ที่จะถูกส่งออกมาฟาดฟันกับ “นิสสัน มาร์ช” ที่ทำตลาดมาปีหนึ่งแล้ว และก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยมาร์ชมียอดขายและยอดจองถึงปัจจุบันไปแล้วกว่า 31,000 คัน
การเปิดตัวฮอนด้า บริโอ จึงเป็นความท้าทายสำคัญของมาร์ช และยังจะแสดงให้เห็นทิศทางตลาดแท้จริง ของรถขนาดเล็กต่ำกว่ากลุ่มบี-เซกเม้นท์ โดยฮอนด้า บริโอ มากับรูปลักษณ์กะทัดรัด เหมาะกับการใช้งานในเมือง วางเครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ 1.2 ลิตร 90 แรงม้า และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT กับระบบ Shift Hold System ที่ช่วยให้สามารถตอบสนองการขับขี่ได้รวดเร็วทันใจ
ฮอนด้า บริโอ มีทางเลือก 2 รุ่นหลัก 3 รุ่นย่อย โดยเป็นรุ่น S เกียร์ธรรมดา ราคา 399,900 บาท และมีรุ่น V ที่แยกย่อยรุ่นเกียร์ธรรมดา ราคา 469,500 บาท และรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ราคา 508,500 บาท ซึ่งทุกรุ่นมาพร้อมถุงลมคู่หน้า และระบบเบรกABS ป้องกันล้อล็อกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
แต่หากเบื่อรถเล็กญี่ปุ่น ในงานนี้ยังมีการเปิดตัวโฉมใหม่ของ “เกีย พิแคนโต” (Kia Picanto) ที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ไปในงานเจนีวามอเตอร์ มอเตอร์โชว์ 2011 ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเวอร์ชั่นเดิมของพิแคนโตที่นำเข้ามาขายในไทย มีกลุ่มลูกค้าอยู่พอสมควร แม้จะไม่มากเท่ากับรถญี่ปุ่นก็ตาม
เกีย พิแคนโต ใหม่ มากับมาดสปอร์ตและดุดันมากขึ้น ไล่มาตั้งแต่กันชนหน้าที่ดูแข็งแกร่ง ติดตั้งสเกิร์ตด้านข้าง ไฟท้ายลายใหม่ สปอยเลอร์หลังคา และล้ออัลลอยสไตล์สปอร์ต วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 85 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และมาพร้อมกับดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น เช่นเดียวกับระบบ ABS และเสริมแรงเบรก BA ซึ่งการันตีการห้ามล้อที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้ระยะทางเพียง 41 เมตรเท่านั้น
หรือหากไม่สนใจรถจากเอเชีย ยังมีรถเล็กจากยุโรปแบรนด์ “สโกด้า” แห่งสาธารณรัฐเช็ก ภายใต้การทำตลาดในไทยของกลุ่ม “แด๊ด ยนตรกิจ” (Directional Automotive Develop Yontrakit : DAD Yontrakit) ซึ่งแยกตัวออกมาจากกลุ่มยนตรกิจคอปอร์เรชั่น ด้วยการถือแบรนด์รถยนต์ในมืออย่าง ซีตรอง, สโกด้า, เซียท, โพลาซัน และโฟตอน รวมถึงรถแต่งเอ็มทีเอ็ม(MTM)
ทั้งนี้แด๊ดยนตรกิจได้เริ่มหวนกลับมาลุยแบรนด์สโกด้าจริงจังเมื่อปีที่ผ่านมา มีรถเป็นสินค้าทำตลาด 2 รุ่น คือ สโกด้า ออคตาเวีย และรุ่นฟาเบีย ซึ่งล่าสุดในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 นี้ ได้มีการนำรุ่นเล็ก “สโกด้า เยติ 1.2ทีเอสไอ” (Skoda Yeti 1.2 TSI) มาเสริมไลน์เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
โดยรถคันนี้ใช้เครื่องยนต์ Turbo SI ขนาด 1.2 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 5,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 1,550-4,100 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด DSG อัตราเร่งจาก 0 -100 กม./ชม. ทำได้ภายในเวลา 12 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 173 กม./ชม.
คอมแพ็กต์-เก๋งกลางยังมีทีเด็ด
นอกจากนี้ค่ายแด๊ด ยนตรกิจ ตั้งใจจะปลุกปั้นแบรนด์สโกด้าลุยตลาดเก๋งไทยเต็มที่ ซึ่งนอกจากจะมี สโกด้า เยติ เข้ามาทำตลาดแล้ว ยังฟื้นเก๋งขนาดกลาง “สโกด้า สุเพิร์บ” (Skoda Superb) ที่เคยเข้ามาทำตลาดสมัยกลุ่มยนตรกิจยังไม่แบ่งแยกสมบัติกงสี แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงชะลอการทำตลาดแบรนด์สโกด้าไปในที่สุด
Superb 1.8 TSI ที่ทางแด๊ด ยนตรกิจ นำกลับมาทำตลาดใหม่ โดยใช้เวทีบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 เปิดตัวครั้งนี้ วางเครื่องยนต์เบนซิน Turbo SI ขนาด 1.8 ลิตร 160 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด DSG สร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 8.5 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 220 กม./ชม.
ส่วนใครที่ต้องการรถตลาดระดับราคา 1 ล้านบาทขึ้น ยังมีทางเลือกใหม่ล่าสุดกับ “มาสด้า 3” เจเนอรชั่นใหม่ ซึ่งในที่สุดก็ได้ฤกษ์ทำตลาดในไทยเสียที ทั้งที่ในญี่ปุ่นเปิดตัวไปเมื่อร่วม 2 ปีที่ผ่านมา แต่การส่งมาสด้า 3 โฉมใหม่บุกตลาดครั้งนี้ก็ยังไม่สุดๆ เพราะเลือกเปิดตัวแค่รุ่น 2.0 ลิตรเท่านั้น ขณะที่รุ่น 1.6 ลิตรจะตามมาในช่วงปลายปีนี้อีกที
เรื่องการออกแบบของค่ายมาสด้าไม่ต้องห่วง มีความโฉบเฉี่ยวและสปอร์ตอยู่แล้ว แต่ได้เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ดีขึ้น อย่าง และวางเครื่องยนต์ MZR 2.0 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งให้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ มาพร้อมระบบ Paddle Shift ที่สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการ และระบบควบคุมเกียร์ AAS (active Adaptive Shift) ช่วยควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติให้เหมาะตามสไตล์ของผู้ขับขี่ โดยมีให้เลือกทั้งแบบแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู ในรุ่น Maxx A/T ราคา 1,064,000 บาท และรุ่นซีดาน 4 ประตู Maxx Sports A/T ราคา 1,064,000 บาท
สำหรับผู้ที่อยากจะขยับขึ้นไปหรูหราหน่อย และไม่เน้นว่าจะเป็นรถญี่ปุ่น หรือยุโรป มีอีกทางเลือกกับรถยนต์จากแดนกิมจิประเทศเกาหลี “ฮุนได” ที่หวนกับมารุกตลาดเก๋งขนาดกลางอีกรอบ กับโฉมใหม่ของ “ฮุนได โซนาต้า” (Hyundai Sonata) แต่คราวนี้เป็นการนำเข้าจากเกาหลีแทน ไม่ใช้ขึ้นไลน์ประกอบเหมือนเวอร์ชั่นที่ผ่านมา
ฮุนได โซนาต้า ใหม่ ออกแบบให้เป็นรถซีดาน 4 ประตู ในสไตล์ของสปอร์ตคูเป้ แต่ก็หรูหราสะดุดตากับหลังคาแก้ว (Panoramic Sunroof) เช่นเดียวกับห้องโดยสารเน้นความหรูหรา แต่ให้อารมณ์สปอร์ต พร้อมฟังก์ชั่นทันสมัยเพื่อความสะดวกสบายของทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร มาตรวัดแบบ Super Vision สวยสะดุดตา มองเห็นได้ชัดเจน และคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลการเดินทางในรูปแบบต่างๆ โดยวางเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 165 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shifts เปลี่ยนเกียร์ได้ทุกระดับความเร็วที่พวงมาลัย มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น S ราคา 1,550,000 บาท และรุ่น G ราคา 1,87,000 บาท
เก๋งหรูมีให้เลือกตามสไตล์ชอบ
พูดถึงรถซีดาน 4 ประตูสไตล์สปอร์ตคูเป้แล้ว ยังโมเดลที่ท็อปสุดให้เลือก หากคุณมีเงินในระดับไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้านบาทในกระเป๋า นั่นก็คือ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส350” (Mercedes-Benz CLS350) โฉมใหม่ จากการนำเข้ามาเปิดตัวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
ซีแอลเอส 350 รถยนต์คูเป้สี่ประตูโฉมใหม่ ที่ได้รับการออกแบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในใหม่หมดจดของรุ่นที่สอง ด้านหน้าได้รับการออกแบบพิเศษให้ปราดเปรียวขึ้น พร้อมกระจังหน้ารูปตัว V-shaped ลายเส้นนูนโค้งเว้าด้านข้างมีมิติและสวยสะดุดตาเน้นย้ำความปราดเปรียวเด่นชัดมากขึ้น ด้านท้ายโค้งมนให้ความสปอร์ต พร้อมไฟท้ายแบบ LED ประสิทธิภาพสูง CLS ใหม่มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ความจุกระบอกสูบ 3,498 ซีซี กำลังสูงสุด 225 กิโลวัตต์ / 306 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 3,500 -5,250 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 6.1 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ให้ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่ารุ่นก่อนถึง 25%
แต่ถ้าต้องการเก๋งหรูแบบซีดาน 4 ประตูทั่วไป ค่ายเสือทะยาน “จากัวร์” มีทางเลือกใหม่ให้กับเศรษฐีไทย ด้วยรุ่น “จากัวร์ เอ็กซ์เจ” (Jaguar XJ) โดยการเพิ่มทางเลือกใหม่ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล จากเดิมที่มีแค่รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5200 ซีซี 385 แรงม้า แต่ในรุ่นเครื่องเทอร์โบดีเซล V6 รหัส AJ-V6D GEN III ขนาด 3000 ซีซี 275 แรงม้า ก็ให้ความแรงได้มากทีเดียว โดยมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6.4 วินาที เปิดราคาในรุ่นฐานล้อยาวที่ 12,200,000 บาท
หรือหากต้องการรถหรูราคาย่อมเยาลงมาหน่อย ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ต้องแวะเข้าบูธ “วอลโว่” ที่ในช่วง 1-2 ปีมานี้ยอดขายกลับมาดีวันดีคืน ล่าสุดเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับความหรูระดับท็อปคลาสของค่ายวอลโว่ โดยกลับมาทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลอีกครั้ง หลังจากหยุดไประยะหนึ่ง ด้วยรุ่น “วอลโว่ เอส80ดี3” (Volvo S80 D3) เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร 163 แรงม้า ที่เข้ามาเสริมไลน์ในปัจจุบันของรุ่นเอส80 เครื่องยนต์รองรับพลังงานทางเลือกน้ำมัน E85
รถสปอร์ตสร้างสีสันคึกคัก
ส่วนผู้ที่ชื่นชอบความแรงหลังติดเบาะกับรถสปอร์ต งานนี้มีมาให้เลือกไม่น้อยเช่นเดิม ที่เป็นไฮไลต์เห็นจะเป็น 2 โมเดลจากค่ายตราดาว “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ตัวแรกเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ชื่อดัง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค 350” (Mercedes-Benz SLK 350 Roadster) ที่นับเป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูล SLK มาพร้อมกับหลังคาแบบใหม่ล่าสุด panoramic vario-roof แบบ MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับระดับความสว่างได้
SLK 350 BlueEFFICIENCY Roadster วางเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร 306 แรงม้า มั่นใจกับออกแบบระบบช่วงล่างให้ควบคุมรถได้ดี และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เบรกแบบ Torque Vectoring ช่วยลดอาการดื้อโค้ง เกาะถนนมากขึ้น และเข้าโค้งได้คมยิ่งกว่า เฉียบกับเทคโนโลยีใหม่ระบบหยุดลม Air guide ช่วยควบคุมการไหลของอากาศ และควบคุมเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ในขณะที่เปิดประทุนอีกด้วย โดยราคา SLK 350 BlueEFFICIENCY Sports AMG อยู่ที่ 7,399,000 บาท
อีกรุ่นเป็นสปอร์ตคูเป้ระดับไฮเอ็นด์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล500” (Mercedes-Benz CL500)เครื่องยนต์ขุมพลัง V8 ไบเทอร์โบดีไซน์ใหม่ 435 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 9.5 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร โดย CL 500 BlueEFFICIENCY Coupe มีราคา 15,490,000 บาท และรุ่น CL 500 BlueEFFICIENCY Coupe Sports AMG ราคา 16,290,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่หัวใจเป็นใบพัดสีฟ้า “บีเอ็มดับเบิลยู” เวทีนี้มีรถสปอร์ตเปิดประทุนให้เลือกเช่นกัน ด้วยการนำเข้า “บีเอ็มดับเบิลยู 640ไอ(BMW 640i Convertible) มาเอาใจแฟนกับ เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ทวินแคม 24 วาล์วบล็อกใหม่ ที่บีเอ็มดับเบิลยูเรียกว่า ให้ชื่อทางการตลาดว่า Twin Power โดยสามารถปลดปล่อยพลังม้าออกมา 320 ตัว ทำให้เร่งความเร็วจาก 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ภายใน 5.7 วินาที
หากไม่พอใจกับความแรงระดับนี้ ทางค่ายเอเอเอส โอโตเซอร์วิส หรือเอเอเอส(AAS) ยังจะนำรถในเครืออย่าง “ปอร์เช่” และ “เบนท์ลีย์” มาให้ได้สัมผัส โดยเริ่มจาก ปอร์เช่ 911จีที3 อาร์เอส (Porsche 911 GT3 RS ) ตัวแรงต่อยอดจากรุ่น จีที3 พร้อมกับลดน้ำหนักลง10 กิโลกรัม ทั้งยังถอดเครื่องยนต์แบบ 6 สูบนอน 3,600 ซีซีออกไป และแทนที่ด้วย 6 สูบนอนแบบ Di 3,800 ซีซี 450 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาแบบควิกชิฟต์ 6 จังหวะ สนนราคาประมาณ 20 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับออปชันที่ลูกค้าเลือก
นอกจากนี้ยังมีสปอร์ตสุดหรู 2 รุ่นจาก“เบนท์ลีย์” คือ “คอนติเนนทัล ซูเปอร์สปอร์ต” (Continental Supersports) มาให้สัมผัสตัวเป็นๆ ครั้งแรก จากที่ก่อนหน้านี้จะมีแค่สั่งจองจากรูปเท่านั้น โดยรุ่นซูเปอร์สปอร์ตนี้เป็นรถจากโรงงานของเบนท์ลีย์ ที่มีกำลังสูงสุดมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา ด้วยขุมกำลังจากเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6000 ซีซี 630 แรงม้า ใช้เวลาเพียง 3.9 วินาทีเท่านั้น ในการแล่นจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่ความเร็วปลายอยู่ในระดับ 329 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคาะราคาที่ 25.3 ล้านบาท
อีกรุ่นคือ “เบนท์ลีย์ มูลซานน์” (Bentley Mulsanne) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ วี8 ขนาด 6750 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 505 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด1,020 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 33 ล้านบาท
รถอเนกประสงค์มีทุกแบบ
รถใหม่เปิดตัวในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ มีอีกประเภทที่จะถูกนำเข้ามาสนองตอบความต้องการลูกค้าเสมอ เห็นจะเป็นรถใช้งานอเนกประสงค์ แน่นอนอันดับแรกเห็นจะเป็นรถประเภทเอสยูวี ซึ่งครั้งนี้ค่ายบีเอ็มดับเบิลยูได้นำเข้า “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3” ใหม่ หรือ BMW X3 xDrive20d ซึ่งได้รับการขยายมิติในทุกด้าน ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในให้มากขึ้น โดยวางเครื่องยนต์ Advanced Diesel แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน สามารถผลิตกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 สปีด สร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 8.5 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร
แต่หากต้องการรถตะลุยได้ทุกสถานการณ์ ต้องกลับมาที่บูธของค่ายตราดาว แล้วตรงไปยังออฟโรด “เมอร์เซเดส-เบนซ์ จี55” (Mercedes-Benz G55) ซึ่งทาง Mercedes-AMG ได้นำรุ่นนี้มาโมดิฟายเป็น G 55 AMG จึงให้พละกำลังพร้อมความแรงระดับ AMG แต่ยังแฝงรูปลักษณ์สไตล์คลาสสิก โดยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.5 ลิตร พร้อมระบบซูเปอร์ชาร์จ สามารถให้ขุมพลังถึง 507 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 5.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม.
แน่นอนหากเพียงต้องการรถใช้งานอเนกประสงค์แบบโดยสารเป็นหลัก เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมีอีกทางเลือกกับ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ วีโต้” (Mercedes-Benz Vito) รถตู้ระดับหรูโฉมใหม่ ที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์ภายในและภายนอก ตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายและลงตัว ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 2,148 ซีซี ขุมพลัง 150 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 12.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 8.1 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร และพรั่งพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยตามมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์
เรียกว่ามางานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 งานเดียว เลือกช็อปรถได้ครบครันทุกความต้องการทีเดียว ฉะนั้นหากผู้ที่กำลังจะถอยรถสักคัน ไม่เพียงรถโมเดลใหม่ ยังมีรถรุ่นปัจจุบันที่ทำตลาดอยู่ ให้เลือกและเปรียบเทียบด้วย เอ้า! ไปชมกันได้ที่เวทีใหม่อาคารชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 5 เมษายนนี้เท่านั้น
ไฮไลต์ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ ครั้งนี้ คงต้องยกให้กับ “ฮอนด้า บริโอ้”(Honda Brio) อีโคคาร์คันที่สองของโลก ที่จะถูกส่งออกมาฟาดฟันกับ “นิสสัน มาร์ช” ที่ทำตลาดมาปีหนึ่งแล้ว และก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก โดยมาร์ชมียอดขายและยอดจองถึงปัจจุบันไปแล้วกว่า 31,000 คัน
การเปิดตัวฮอนด้า บริโอ จึงเป็นความท้าทายสำคัญของมาร์ช และยังจะแสดงให้เห็นทิศทางตลาดแท้จริง ของรถขนาดเล็กต่ำกว่ากลุ่มบี-เซกเม้นท์ โดยฮอนด้า บริโอ มากับรูปลักษณ์กะทัดรัด เหมาะกับการใช้งานในเมือง วางเครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ 1.2 ลิตร 90 แรงม้า และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT กับระบบ Shift Hold System ที่ช่วยให้สามารถตอบสนองการขับขี่ได้รวดเร็วทันใจ
ฮอนด้า บริโอ มีทางเลือก 2 รุ่นหลัก 3 รุ่นย่อย โดยเป็นรุ่น S เกียร์ธรรมดา ราคา 399,900 บาท และมีรุ่น V ที่แยกย่อยรุ่นเกียร์ธรรมดา ราคา 469,500 บาท และรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ราคา 508,500 บาท ซึ่งทุกรุ่นมาพร้อมถุงลมคู่หน้า และระบบเบรกABS ป้องกันล้อล็อกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
แต่หากเบื่อรถเล็กญี่ปุ่น ในงานนี้ยังมีการเปิดตัวโฉมใหม่ของ “เกีย พิแคนโต” (Kia Picanto) ที่เพิ่งเปิดตัวสดๆ ร้อนๆ ไปในงานเจนีวามอเตอร์ มอเตอร์โชว์ 2011 ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเวอร์ชั่นเดิมของพิแคนโตที่นำเข้ามาขายในไทย มีกลุ่มลูกค้าอยู่พอสมควร แม้จะไม่มากเท่ากับรถญี่ปุ่นก็ตาม
เกีย พิแคนโต ใหม่ มากับมาดสปอร์ตและดุดันมากขึ้น ไล่มาตั้งแต่กันชนหน้าที่ดูแข็งแกร่ง ติดตั้งสเกิร์ตด้านข้าง ไฟท้ายลายใหม่ สปอยเลอร์หลังคา และล้ออัลลอยสไตล์สปอร์ต วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 85 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และมาพร้อมกับดิสก์เบรก 4 ล้อ เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น เช่นเดียวกับระบบ ABS และเสริมแรงเบรก BA ซึ่งการันตีการห้ามล้อที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้ระยะทางเพียง 41 เมตรเท่านั้น
หรือหากไม่สนใจรถจากเอเชีย ยังมีรถเล็กจากยุโรปแบรนด์ “สโกด้า” แห่งสาธารณรัฐเช็ก ภายใต้การทำตลาดในไทยของกลุ่ม “แด๊ด ยนตรกิจ” (Directional Automotive Develop Yontrakit : DAD Yontrakit) ซึ่งแยกตัวออกมาจากกลุ่มยนตรกิจคอปอร์เรชั่น ด้วยการถือแบรนด์รถยนต์ในมืออย่าง ซีตรอง, สโกด้า, เซียท, โพลาซัน และโฟตอน รวมถึงรถแต่งเอ็มทีเอ็ม(MTM)
ทั้งนี้แด๊ดยนตรกิจได้เริ่มหวนกลับมาลุยแบรนด์สโกด้าจริงจังเมื่อปีที่ผ่านมา มีรถเป็นสินค้าทำตลาด 2 รุ่น คือ สโกด้า ออคตาเวีย และรุ่นฟาเบีย ซึ่งล่าสุดในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 นี้ ได้มีการนำรุ่นเล็ก “สโกด้า เยติ 1.2ทีเอสไอ” (Skoda Yeti 1.2 TSI) มาเสริมไลน์เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
โดยรถคันนี้ใช้เครื่องยนต์ Turbo SI ขนาด 1.2 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 5,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 175 นิวตัน-เมตร ที่ 1,550-4,100 รอบ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด DSG อัตราเร่งจาก 0 -100 กม./ชม. ทำได้ภายในเวลา 12 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 173 กม./ชม.
คอมแพ็กต์-เก๋งกลางยังมีทีเด็ด
นอกจากนี้ค่ายแด๊ด ยนตรกิจ ตั้งใจจะปลุกปั้นแบรนด์สโกด้าลุยตลาดเก๋งไทยเต็มที่ ซึ่งนอกจากจะมี สโกด้า เยติ เข้ามาทำตลาดแล้ว ยังฟื้นเก๋งขนาดกลาง “สโกด้า สุเพิร์บ” (Skoda Superb) ที่เคยเข้ามาทำตลาดสมัยกลุ่มยนตรกิจยังไม่แบ่งแยกสมบัติกงสี แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงชะลอการทำตลาดแบรนด์สโกด้าไปในที่สุด
Superb 1.8 TSI ที่ทางแด๊ด ยนตรกิจ นำกลับมาทำตลาดใหม่ โดยใช้เวทีบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 เปิดตัวครั้งนี้ วางเครื่องยนต์เบนซิน Turbo SI ขนาด 1.8 ลิตร 160 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด DSG สร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 8.5 วินาที สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 220 กม./ชม.
ส่วนใครที่ต้องการรถตลาดระดับราคา 1 ล้านบาทขึ้น ยังมีทางเลือกใหม่ล่าสุดกับ “มาสด้า 3” เจเนอรชั่นใหม่ ซึ่งในที่สุดก็ได้ฤกษ์ทำตลาดในไทยเสียที ทั้งที่ในญี่ปุ่นเปิดตัวไปเมื่อร่วม 2 ปีที่ผ่านมา แต่การส่งมาสด้า 3 โฉมใหม่บุกตลาดครั้งนี้ก็ยังไม่สุดๆ เพราะเลือกเปิดตัวแค่รุ่น 2.0 ลิตรเท่านั้น ขณะที่รุ่น 1.6 ลิตรจะตามมาในช่วงปลายปีนี้อีกที
เรื่องการออกแบบของค่ายมาสด้าไม่ต้องห่วง มีความโฉบเฉี่ยวและสปอร์ตอยู่แล้ว แต่ได้เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ดีขึ้น อย่าง และวางเครื่องยนต์ MZR 2.0 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งให้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ มาพร้อมระบบ Paddle Shift ที่สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ตามความต้องการ และระบบควบคุมเกียร์ AAS (active Adaptive Shift) ช่วยควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติให้เหมาะตามสไตล์ของผู้ขับขี่ โดยมีให้เลือกทั้งแบบแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู ในรุ่น Maxx A/T ราคา 1,064,000 บาท และรุ่นซีดาน 4 ประตู Maxx Sports A/T ราคา 1,064,000 บาท
สำหรับผู้ที่อยากจะขยับขึ้นไปหรูหราหน่อย และไม่เน้นว่าจะเป็นรถญี่ปุ่น หรือยุโรป มีอีกทางเลือกกับรถยนต์จากแดนกิมจิประเทศเกาหลี “ฮุนได” ที่หวนกับมารุกตลาดเก๋งขนาดกลางอีกรอบ กับโฉมใหม่ของ “ฮุนได โซนาต้า” (Hyundai Sonata) แต่คราวนี้เป็นการนำเข้าจากเกาหลีแทน ไม่ใช้ขึ้นไลน์ประกอบเหมือนเวอร์ชั่นที่ผ่านมา
ฮุนได โซนาต้า ใหม่ ออกแบบให้เป็นรถซีดาน 4 ประตู ในสไตล์ของสปอร์ตคูเป้ แต่ก็หรูหราสะดุดตากับหลังคาแก้ว (Panoramic Sunroof) เช่นเดียวกับห้องโดยสารเน้นความหรูหรา แต่ให้อารมณ์สปอร์ต พร้อมฟังก์ชั่นทันสมัยเพื่อความสะดวกสบายของทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร มาตรวัดแบบ Super Vision สวยสะดุดตา มองเห็นได้ชัดเจน และคอมพิวเตอร์แสดงข้อมูลการเดินทางในรูปแบบต่างๆ โดยวางเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 165 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Paddle Shifts เปลี่ยนเกียร์ได้ทุกระดับความเร็วที่พวงมาลัย มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น S ราคา 1,550,000 บาท และรุ่น G ราคา 1,87,000 บาท
เก๋งหรูมีให้เลือกตามสไตล์ชอบ
พูดถึงรถซีดาน 4 ประตูสไตล์สปอร์ตคูเป้แล้ว ยังโมเดลที่ท็อปสุดให้เลือก หากคุณมีเงินในระดับไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้านบาทในกระเป๋า นั่นก็คือ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส350” (Mercedes-Benz CLS350) โฉมใหม่ จากการนำเข้ามาเปิดตัวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย
ซีแอลเอส 350 รถยนต์คูเป้สี่ประตูโฉมใหม่ ที่ได้รับการออกแบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในใหม่หมดจดของรุ่นที่สอง ด้านหน้าได้รับการออกแบบพิเศษให้ปราดเปรียวขึ้น พร้อมกระจังหน้ารูปตัว V-shaped ลายเส้นนูนโค้งเว้าด้านข้างมีมิติและสวยสะดุดตาเน้นย้ำความปราดเปรียวเด่นชัดมากขึ้น ด้านท้ายโค้งมนให้ความสปอร์ต พร้อมไฟท้ายแบบ LED ประสิทธิภาพสูง CLS ใหม่มาพร้อมเครื่องยนต์ V6 ความจุกระบอกสูบ 3,498 ซีซี กำลังสูงสุด 225 กิโลวัตต์ / 306 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตรที่ 3,500 -5,250 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 6.1 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ให้ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่ารุ่นก่อนถึง 25%
แต่ถ้าต้องการเก๋งหรูแบบซีดาน 4 ประตูทั่วไป ค่ายเสือทะยาน “จากัวร์” มีทางเลือกใหม่ให้กับเศรษฐีไทย ด้วยรุ่น “จากัวร์ เอ็กซ์เจ” (Jaguar XJ) โดยการเพิ่มทางเลือกใหม่ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล จากเดิมที่มีแค่รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5200 ซีซี 385 แรงม้า แต่ในรุ่นเครื่องเทอร์โบดีเซล V6 รหัส AJ-V6D GEN III ขนาด 3000 ซีซี 275 แรงม้า ก็ให้ความแรงได้มากทีเดียว โดยมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 6.4 วินาที เปิดราคาในรุ่นฐานล้อยาวที่ 12,200,000 บาท
หรือหากต้องการรถหรูราคาย่อมเยาลงมาหน่อย ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ต้องแวะเข้าบูธ “วอลโว่” ที่ในช่วง 1-2 ปีมานี้ยอดขายกลับมาดีวันดีคืน ล่าสุดเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับความหรูระดับท็อปคลาสของค่ายวอลโว่ โดยกลับมาทำตลาดเครื่องยนต์ดีเซลอีกครั้ง หลังจากหยุดไประยะหนึ่ง ด้วยรุ่น “วอลโว่ เอส80ดี3” (Volvo S80 D3) เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จ 2.0 ลิตร 163 แรงม้า ที่เข้ามาเสริมไลน์ในปัจจุบันของรุ่นเอส80 เครื่องยนต์รองรับพลังงานทางเลือกน้ำมัน E85
รถสปอร์ตสร้างสีสันคึกคัก
ส่วนผู้ที่ชื่นชอบความแรงหลังติดเบาะกับรถสปอร์ต งานนี้มีมาให้เลือกไม่น้อยเช่นเดิม ที่เป็นไฮไลต์เห็นจะเป็น 2 โมเดลจากค่ายตราดาว “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ตัวแรกเป็นสปอร์ตโรดสเตอร์ชื่อดัง “เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค 350” (Mercedes-Benz SLK 350 Roadster) ที่นับเป็นรุ่นที่ 3 ของตระกูล SLK มาพร้อมกับหลังคาแบบใหม่ล่าสุด panoramic vario-roof แบบ MAGIC SKY CONTROL ที่สามารถปรับระดับความสว่างได้
SLK 350 BlueEFFICIENCY Roadster วางเครื่องยนต์ V6 ขนาด 3.5 ลิตร 306 แรงม้า มั่นใจกับออกแบบระบบช่วงล่างให้ควบคุมรถได้ดี และแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เบรกแบบ Torque Vectoring ช่วยลดอาการดื้อโค้ง เกาะถนนมากขึ้น และเข้าโค้งได้คมยิ่งกว่า เฉียบกับเทคโนโลยีใหม่ระบบหยุดลม Air guide ช่วยควบคุมการไหลของอากาศ และควบคุมเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ในขณะที่เปิดประทุนอีกด้วย โดยราคา SLK 350 BlueEFFICIENCY Sports AMG อยู่ที่ 7,399,000 บาท
อีกรุ่นเป็นสปอร์ตคูเป้ระดับไฮเอ็นด์ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล500” (Mercedes-Benz CL500)เครื่องยนต์ขุมพลัง V8 ไบเทอร์โบดีไซน์ใหม่ 435 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 9.5 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร โดย CL 500 BlueEFFICIENCY Coupe มีราคา 15,490,000 บาท และรุ่น CL 500 BlueEFFICIENCY Coupe Sports AMG ราคา 16,290,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่หัวใจเป็นใบพัดสีฟ้า “บีเอ็มดับเบิลยู” เวทีนี้มีรถสปอร์ตเปิดประทุนให้เลือกเช่นกัน ด้วยการนำเข้า “บีเอ็มดับเบิลยู 640ไอ(BMW 640i Convertible) มาเอาใจแฟนกับ เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ทวินแคม 24 วาล์วบล็อกใหม่ ที่บีเอ็มดับเบิลยูเรียกว่า ให้ชื่อทางการตลาดว่า Twin Power โดยสามารถปลดปล่อยพลังม้าออกมา 320 ตัว ทำให้เร่งความเร็วจาก 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ภายใน 5.7 วินาที
หากไม่พอใจกับความแรงระดับนี้ ทางค่ายเอเอเอส โอโตเซอร์วิส หรือเอเอเอส(AAS) ยังจะนำรถในเครืออย่าง “ปอร์เช่” และ “เบนท์ลีย์” มาให้ได้สัมผัส โดยเริ่มจาก ปอร์เช่ 911จีที3 อาร์เอส (Porsche 911 GT3 RS ) ตัวแรงต่อยอดจากรุ่น จีที3 พร้อมกับลดน้ำหนักลง10 กิโลกรัม ทั้งยังถอดเครื่องยนต์แบบ 6 สูบนอน 3,600 ซีซีออกไป และแทนที่ด้วย 6 สูบนอนแบบ Di 3,800 ซีซี 450 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดาแบบควิกชิฟต์ 6 จังหวะ สนนราคาประมาณ 20 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับออปชันที่ลูกค้าเลือก
นอกจากนี้ยังมีสปอร์ตสุดหรู 2 รุ่นจาก“เบนท์ลีย์” คือ “คอนติเนนทัล ซูเปอร์สปอร์ต” (Continental Supersports) มาให้สัมผัสตัวเป็นๆ ครั้งแรก จากที่ก่อนหน้านี้จะมีแค่สั่งจองจากรูปเท่านั้น โดยรุ่นซูเปอร์สปอร์ตนี้เป็นรถจากโรงงานของเบนท์ลีย์ ที่มีกำลังสูงสุดมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา ด้วยขุมกำลังจากเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6000 ซีซี 630 แรงม้า ใช้เวลาเพียง 3.9 วินาทีเท่านั้น ในการแล่นจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่ความเร็วปลายอยู่ในระดับ 329 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เคาะราคาที่ 25.3 ล้านบาท
อีกรุ่นคือ “เบนท์ลีย์ มูลซานน์” (Bentley Mulsanne) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ วี8 ขนาด 6750 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 505 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด1,020 นิวตันเมตรที่ 1,750 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดของ ZF ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 33 ล้านบาท
รถอเนกประสงค์มีทุกแบบ
รถใหม่เปิดตัวในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ มีอีกประเภทที่จะถูกนำเข้ามาสนองตอบความต้องการลูกค้าเสมอ เห็นจะเป็นรถใช้งานอเนกประสงค์ แน่นอนอันดับแรกเห็นจะเป็นรถประเภทเอสยูวี ซึ่งครั้งนี้ค่ายบีเอ็มดับเบิลยูได้นำเข้า “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3” ใหม่ หรือ BMW X3 xDrive20d ซึ่งได้รับการขยายมิติในทุกด้าน ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในให้มากขึ้น โดยวางเครื่องยนต์ Advanced Diesel แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน สามารถผลิตกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 สปีด สร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 8.5 วินาที อัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 17.9 กิโลเมตรต่อลิตร
แต่หากต้องการรถตะลุยได้ทุกสถานการณ์ ต้องกลับมาที่บูธของค่ายตราดาว แล้วตรงไปยังออฟโรด “เมอร์เซเดส-เบนซ์ จี55” (Mercedes-Benz G55) ซึ่งทาง Mercedes-AMG ได้นำรุ่นนี้มาโมดิฟายเป็น G 55 AMG จึงให้พละกำลังพร้อมความแรงระดับ AMG แต่ยังแฝงรูปลักษณ์สไตล์คลาสสิก โดยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.5 ลิตร พร้อมระบบซูเปอร์ชาร์จ สามารถให้ขุมพลังถึง 507 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 5.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม.
แน่นอนหากเพียงต้องการรถใช้งานอเนกประสงค์แบบโดยสารเป็นหลัก เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมีอีกทางเลือกกับ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ วีโต้” (Mercedes-Benz Vito) รถตู้ระดับหรูโฉมใหม่ ที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์ภายในและภายนอก ตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายและลงตัว ด้วยเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 2,148 ซีซี ขุมพลัง 150 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 12.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 8.1 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร และพรั่งพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยตามมาตรฐานเมอร์เซเดส-เบนซ์
เรียกว่ามางานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2011 งานเดียว เลือกช็อปรถได้ครบครันทุกความต้องการทีเดียว ฉะนั้นหากผู้ที่กำลังจะถอยรถสักคัน ไม่เพียงรถโมเดลใหม่ ยังมีรถรุ่นปัจจุบันที่ทำตลาดอยู่ ให้เลือกและเปรียบเทียบด้วย เอ้า! ไปชมกันได้ที่เวทีใหม่อาคารชาลเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 5 เมษายนนี้เท่านั้น