xs
xsm
sm
md
lg

ปาเจโร สปอร์ต 2.5VGT “รักนุ่ม-ขับนิ่มเชิญทางนี้”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไม่ต้องไหว้ครูให้เสียเวลาครับ สำหรับ “มิตซูบิชิ” ที่ประเดิมศักราชใหม่ ด้วยการเปิดตัวปิกอัพ “ไทรทัน” และ พีพีวี “ปาเจโร สปอร์ต” ซึ่งรถทั้งสองรุ่นได้รับการปรับออปชัน และเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ พร้อมปล่อยลงโชว์รูมทั่วประเทศตั้งแต่ 15 มกราคมที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนขุมพลัง โดยมิตซูบิชิตัดสินใจถอดเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตรออกไปจากตลาด(เมืองไทย) และหันมาคบกับขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน...เรียกว่า “ไทรทัน-ปาเจโร สปอร์ต” รุ่นไหนที่เคยวางเครื่อง 3.2 ลิตร แต่จากนี้ไปจะเปลี่ยนมาใช้ขนาด 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผันทั้งหมด

สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล 2.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน หรือ วีจี เทอร์โบ (VG Turbo) เป็นการนำของเดิม หรือรหัส 4D56 140 แรงม้า มาพัฒนาต่อยอด ซึ่งนอกจากจะนำระบบอัดอากาศแบบ เทอร์โบแปรผันมาใช้แล้ว ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลูกสูบ พร้อมปรับปรุงการฉีดจ่ายน้ำมันให้ละเอียดเป็นฝอย ด้วยการเพิ่มรูหัวฉีดจาก 6 รู เป็น7 รู จนสุดท้ายเมื่อการเผาไหม้และการจุดระเบิดดีขึ้น จึงรีดกำลังออกมาได้สูงสุด 178 แรงม้า

...หลังการเปิดตัว “ไทรทัน” และ “ปาเจโร สปอร์ต” ใหม่ ไม่นาน บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย รีบจัดทริปให้สื่อมวลชนได้ทดสอบทันที โดยตลอดเส้นทางกว่า 400 กิโลเมตร กรุงเทพฯ-เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ “ปาเจโร สปอร์ต” ขับเคลื่อน 4 ล้อ GT (ราคา 1.312 ล้านบาท) เป็นพาหนะ ดังนั้นบทความนี้จะขอว่าด้วย “พีพีวี คันเก่ง” ล้วนๆ ส่วนปิกอัพ “ไทรทัน” ถ้ามีโอกาสจะนำมาเสนอภายหลัง

“ปาเจโร สปอร์ต” ทุกรุ่นวางเครื่องยนต์ 2.5 วีจี เทอร์โบ 178 แรงม้า แต่ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ จะใช้เกียร์อัตโนมัติ INVECS II 4 สปีด ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะเป็น INVECS II 5 สปีด และในตัวท็อป GT ยังมีแพดเดิลชิฟท์เปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย รวมถึงใช้ไฟหน้าแบบ HID พร้อมระบบปรับระดับลำแสงอัตโนมัติ ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ทั้งยังทำเท่ด้วยการติดตั้งระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ซึ่งระบบนี้จะฉีดอย่างเดียว ไม่มีก้านปัดน้ำแบบรถหรูยุโรปนะครับ

ส่วนความอเนกประสงค์ที่ยังลงตัวเหมือนเดิมคือ เบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถว 2 ปรับเลื่อนหน้า-ถอยหลัง และแยกพับพนักพิงแบบ 60:40 ได้ ขณะเดียวกันเบาะนั่งแถว 3 สามารถพับเก็บให้ราบไปกับพื้นห้องโดยสาร ซึ่งดูเรียบร้อยและเพิ่มเนื้อที่เก็บสัมภาระด้านหลังได้เป็นอย่างดี


ด้านความบันเทิงระดับ จอแสดงผลขนาด ขนาด7 นิ้ว แบบทัชสกรีน รองรับเครื่องเล่น DVD/VCD/MP3 พร้อมช่องต่อเชื่อมอุปกรณ์ภายนอก AUX และขับเสียงด้วยลำโพง 6 ตัว รอบคัน

สำหรับสมรรถนะการขับขี่ ทริปนี้ผู้เขียนได้โอกาสควบยาวไม้เดียวรวด โดยเส้นทางที่ทีมงานมิตซูบิชิเตรียมไว้ มีทั้งทางดำ และทางฝุ่น ขับกันตั้งแต่เช้ายันมืด ก็ทำให้รับรู้นิสัยใจคอของ “ปาเจโร สปอร์ต วีจี เทอร์โบ” ได้ดีระดับหนึ่ง

เริ่มขบวนออกจากสำนักงานใหญ่ มิตซูบิชิ รังสิต มุ่งหน้า จังหวัดเพชรบูรณ์...ผู้เขียนตั้งใจจับการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ถูกชูเป็นจุดขายก่อน ซึ่งผลที่ได้แปลกใจพอสมควร กับม้า 178 ตัว และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,800-3,500 รอบต่อนาที...พลังมาช้า ไม่สมกับตัวเลข!

...คือจะว่าอืดก็ไม่อืดน่าเกลียด เพียงแต่เห็น(ตัวเลข)สมรรถนะการขับเคลื่อนแล้ว ผู้เขียนนึกว่าจะจัดจ้านกว่านี้ เพราะสุดท้าย “ปาเจโร สปอร์ต วีจี เทอร์โบ ใหม่” ให้อัตราเร่ง หรือจังหวะออกตัว แทบไม่ต่างจากรุ่นเดิม 3.2 ลิตร เทอร์โบ 165 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 351 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที

จากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็ว 40-50 กม./ชม. ยังต้องเร่งต้องลุ้นนิดหน่อย จังหวะเร่งแซง ถ้าอยากเอาชัวร์ก็เชนเกียร์ลงมานิดหนึ่ง แต่ถ้าความเร็วเลยไปกว่านั้น หรือรอบเกือบๆ 3,000 พลังก็ไหลมาต่อเนื่อง ส่วนความเร็วปลายเหลือๆ


การขับที่เกียร์สูงสุด ความเร็ว 100 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่วนความเร็ว 120 กม./ชม. อยู่ที่ 2,200 รอบต่อนาที ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่

จังหวะเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดชุดนี้ ตอบสนองดี ส่งกำลังลื่นไหลพอสมควร หรือจะเล่นแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย ก็โอเคครับ เพียงแต่แป้นแพดเดิลชิฟท์ (เพิ่มเกียร์มือขวา-ลดเกียร์มือซ้าย)จะนิ่งอยู่กับที่ ไม่หมุนตามวงเลี้ยวพวงมาลัย แบบเดียวกับ “แลนเซอร์ อีเอ็กซ์” ตรงนี้แล้วแต่ชอบ ส่วนตัวผู้เขียนเองไม่ค่อยถนัดนัก

น้ำหนักพวงมาลัยกำลังพอดี จับถนัดมั่นใจแม้ความเร็วสูง แต่การสั่งงานซ้าย-ขวา มีระยะฟรีเหลือพอสมควร ซึ่งการเซ็ทพวงมาลัยลักษณะนี้เป็นความตั้งใจของวิศวกรมิตซูบิชิ เพราะเขาน่าจะเล็งเห็นถึงความปลอดภัย เวลาหักเลี้ยวกะทันหันที่ความเร็วสูง ตลอดจนผลพลอยได้อย่างการวิ่งทางฝุ่นหรือเส้นทางออฟโรด ที่พวงมาลัยจะไม่ดีดเด้งจนผู้ขับปวดมือ

ด้านช่วงล่างหน้าแบบปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง หลังเป็นแบบ 3 จุดยึด คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ประกบกับล้อขนาด 17 นิ้ว ยาง 265/65 R17 การเกาะถนนอยู่ในระดับน่าพอใจ แต่รู้สึกว่าจะเซ็ทนุ่มไปนิด ตัวถังมีอาการโยกโยน ช่วงเข้าโค้ง-ลงเนิน

ประเด็นนี้ผู้เขียนก็ “งง” เหมือนกัน เพราะในรุ่น 3.2 ลิตรเดิมนั้น ช่วงล่างเซ็ทมาค่อนข้างดี เรียกว่าการทรงตัว และความนิ่งในโค้ง เป็นจุดเด่นที่ผู้เขียนแนะนำให้เพื่อนซื้อไปหลายคันแล้ว

...ฝากไว้นะครับ เมื่อรถเบาลงร่วม 30 กิโลกรัม (เทียบกับตัว 3.2 ลิตร GTขับเคลื่อน 4 ล้อเดิม) แถมแรงม้ามากขึ้น น่าจะเซ็ทช่วงล่างให้แข็ง หรือลงตัวกว่านี้อีกนิด

สุดท้ายของทริป มิตซูบิชิยังจัดขบวนให้ “ปาเจโร สปอร์ต” และ “ไทรทัน” ลุยเข้าทุ่งแสลงหลวง อีกประมาณ 20 กิโลเมตร โดยตลอดเส้นทางเป็นทางดิน ฝุ่นหนา สลับหินก่อนโต ผู้เขียนจัดแจงปรับโหมดขับเคลื่อนจาก 2H ที่ปกติส่งกำลังไปล้อหลัง 100% มาเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4H ที่จะกระจายกำลัง หน้า-หลังเท่ากัน 50:50 ซึ่งระบบของเขาดีอย่างที่คุยจริงๆ โดยเฉพาะทางร่อนโค้งแคบ การขับยังหนึบหนับมั่นใจ

บางช่วงผู้ขับยัดเกียร์ 3 ใช้เกียร์ 4 โดยเลือกให้เหมาะตามสภาพถนน ขณะเดียวกันพวงมาลัยซับอาการสะท้อนจากพื้นได้ดี ไม่ดีดเด้งตามที่กล่าวไว้ ทำให้ทางข้างหน้ากลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับ “ปาเจโร สปอร์ต” และดูจะคุ้มค่าเงินที่จ่ายเพื่อระบบเทพ Super Select 4WD ขึ้นมาหน่อย(ซื้อมาต้องได้ใช้ครับ...อย่าลืม)

ในส่วนของอัตราบริโภคน้ำมันที่มีการวัดช่วง 200 กิโลเมตรแรก (ทางตรง-ถนนดี)“ปาเจโร สปอร์ต ขับเคลื่อน 4 ล้อ” ของผู้เขียน ขับความเร็วเฉลี่ย 120-130 กม./ชม. และมีจังหวะลองเร่ง เข่นแรงขึ้นไปความเร็วสูงด้วยเช่นกัน ผลสุดท้ายทำตัวเลขได้ 11.20 -11.30กม./ลิตร...ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่ผู้สื่อข่าวท่านอื่นขับ เห็นว่ามีตัวเลขระดับ 13-15 กม./ลิตร

รวบรัดตัดความ...ปัจจุบันปิกอัพ หรือพีพีวี รุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร (หรือ 3.0 ลิตร ของค่ายอื่น) ยอดขายไม่ค่อยเดิน ตลอดจนแนวคิด Downsizing ลดขนาดเครื่องยนต์ แต่รีดพลังได้เพิ่มขึ้น พร้อมการประหยัดน้ำมัน และปล่อยไอเสียน้อยลง ล้วนเป็นทิศทางของตลาดนับจากนี้

สำหรับมิตซูบิชิก็เดินตามแนวทางของโลก และกลไกลตลาด ส่วนคำว่า “แรง” หรือ “อืด” ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน ขณะที่“ปาเจโร สปอร์ต 4WD วีจี เทอร์โบ” บอกได้เพียงว่าการขับไม่ได้จัดจ้านกว่า 3.2 ลิตรเดิม แต่มิตซูบิชิยืนยันว่าจิบน้ำมันน้อยกว่าแน่นอน ส่วนช่วงล่างที่ผู้เขียนว่านุ่มนั้น ถ้ามองเป็นรถครอบครัวอเนกประสงค์นั่งสบาย ก็สมเหตุสมผล(ผู้โดยสารนั่งกันไปเต็มคันอาจจะพอดี)...สนนราคารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ตัวท็อป GT ขึ้นมาจากเดิมประมาณ45,000 บาท ดูน่าตกใจ ฉะนั้นแล้วถ้าไม่เน้นออฟโรด ลุยหนัก ซื้อรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ พอแล้ว แถมประหยัดเงินไปหลายแสนนะครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น