วันนี้ (10 ก.พ.) เมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดงานเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ เดอะ นิว เจนเนอเรชั่น คลาส “CL 500 Blue EFFICIENCY Coupe” โดดเด่นด้วยขุมพลังเครื่องยนต์วี 8และพกพาเทคโนโลยีสุดล้ำ อวดโฉมเศรษฐีกระเป๋าหนัก จัดให้ถ้าพร้อมจ่าย 15,490,000 บาท
รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ CL-Class เวอร์ชั่นใหม่ บทสรุปแห่งสุดยอดรถยนต์คูเป้ระดับไฮเอ็นด์ ด้วยดีไซน์ภายใต้แนวคิด Blue EFFICIENCY โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด Blue DIRECT ที่ให้ความประหยัดอย่างเห็นได้ชัด โดยสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ได้มากถึง 23 เปอร์เซ็นต์ และยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศลดลงจาก 288 กรัมเป็น 224 กรัมต่อกิโลเมตร
ดีไซน์แกร่งในสไตล์ที่โดดเด่น
การออกแบบให้รูปลักษณ์ภายนอกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฝากระโปรงและกระจังหน้าเน้นทรง V-shape มากขึ้นสอดรับกับความโค้งมนของโคมไฟหน้าแบบใหม่ พร้อมเพิ่มลายเส้นด้านข้างและให้ความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (Intelligent Light System) ที่สามารถปรับระดับการส่องสว่างได้ถึง 5 รูปแบบตามสถานการณ์ของสภาพเส้นทาง พร้อมด้วยระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive High beam Assist) และไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน รวมถึงชุดไฟเบรกและชุดไฟท้ายแบบ LED
ภายในหรูหราและประณีตแบบงานฝีมือ
สำหรับห้องโดยสารภายในใช้ไม้เนื้อดีเกรดเยี่ยม 3 ชนิดในการตกแต่ง และส่วนใหญ่เป็นงานแฮนด์เมด พร้อมวัสดุคุณภาพสูงและสีตามคอนเซ็ปต์ที่แสดงถึงรสนิยมส่วนตัวของผู้ขับขี่ โดยมีการเล่นสีให้ตัดกันอย่างโดดเด่นด้วยสีโทน ดำตัดดำ, ซาวานน่าห์เบจตัดแคชเมียร์เบจ, ซาฮาร่าเบจตัดดำ, เทาอัลพาค่าตัดเทาแบซอลท์ และม่วงโอเบอร์จีนตัดดำ นอกจากนี้ยังมีไฟเรืองแสง Ambient lighting ที่สามารถปรับสีให้อารมณ์ที่แตกต่างใน 3 สไตล์ คือสี Solar (ไฟสีอำพัน), neutral (ไฟสีขาว) และ polar (ไฟสีฟ้าเย็น)
ขุมพลัง V8 ไบเทอร์โบใหม่ เสริมนวัตกรรมประหยัดพลังงาน
นวัตกรรมล่าสุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ใช้เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ รหัส M 278 มีความจุกระบอกสูบ 4,663 ซีซี ขนาด 320 กิโลวัตต์ 435 แรงม้า เพิ่มสมรรถนะความแรงจากโมเดลเดิมกว่า 12% (จากเดิม 285 กิโลวัตต์ 388 แรงม้า) แรงบิดเพิ่มขึ้นถึง 32 % จากเดิม 530 ขึ้นเป็น 700 นิวตันเมตรที่ 1,800-3,500 รอบต่อนาที เสริมด้วยเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน Blue DIRECT ซึ่งรวมระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไดเรค อินเจคชั่น และระบบอัดอากาศเทอร์โบเข้าด้วยกัน ทำให้การเผาไหม้ห้องเครื่องเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำและสมบูรณ์มากขึ้น รวมถึงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของระบบระบายความร้อนแบบ 3 ระดับ ทำให้เครื่องยนต์รุ่นนี้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ยถึง 23% เพียง 9.5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ช.ม. ด้วยเวลาเพียง 4.9 วินาที (รุ่นเดิม 5.4 วินาที) และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
การผสมผสานระบบตัวช่วยการขับขี่
ติดตั้งนวัตกรรมอัจฉริยะช่วยเหลือเสมือนเพื่อนคู่คิด “Thinking partner” ที่สามารถรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ต่างๆ และจะปกป้องจากอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น อาทิ ระบบ Adaptive Main Beam Assist การปรับไฟสูงอัตโนมัติ ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ในยามค่ำคืนเป็นไปอย่างชัดเจนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยลำแสงที่สาดส่องไปจะปรับระดับลำแสงขึ้นลงเองอัตโนมัติให้เหมาะสมกับสภาพจราจรขณะนั้น ที่สำคัญลำแสงจะไม่รบกวนสายตาของผู้ขับขี่รถคันหน้าหรือรถที่วิ่งอยู่ในเลนตรงข้าม
นอกจากนี้ยังมีระบบ Night View Assist PLUS ตัวช่วยการมองเห็นยามค่ำคืน เพิ่มขีดความสามารถในการมองเห็นและลดอุปสรรคสำหรับการขับขี่ในเวลากลางคืน โดยใช้แสงอินฟาเรดซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและกล้องขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่ในโคมไฟหน้า แสดงความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นรวมถึงผู้คนที่สัญจรอยู่ริมถนนให้ปรากฎเป็นภาพขาว-ดำบนจอแสดงผลที่แผงหน้าปัด ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่มีเวลามากขึ้นในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าหากเผชิญกับเหตุคับขัน
ตามด้วยระบบ ATTENTION ASSIST ช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่ระมัดระวังมากขึ้นก่อนเริ่มเกิดอาการหลับใน โดยเซ็นเซอร์ภายในรถจะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิเคราะห์การขับขี่ต่างๆ ที่บ่งชี้ถึงอาการเหนื่อยล้า รวมถึงส่งสัญญาณเสียงและภาพเตือนทันที โดยมีสัญลักษณ์และข้อความปรากฏที่จอแสดงผลบนแผงหน้าปัด ซึ่งในขณะที่รถวิ่ง ระบบนี้จะประเมินตัวแปรต่างๆ ถึงกว่า 70 ตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อประมวลผลว่าผู้ขับขี่อยู่ในสภาวะง่วงหรือไม่ และส่งสัญญาณเตือนก่อนที่ผู้ขับขี่จะเริ่มหลับใน โดยเซ็นเซอร์ความไวสูงพิเศษจะตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่วัดมุมการควบคุมพวงมาลัย
ระบบรักษาสมดุลตัวถัง Active Body Control ช่วยลดผลกระทบจากกระแสลมด้านข้าง พร้อมทั้งความปลอดภัยขณะขับเข้าโค้งด้วย Torque Vectoring Brake ที่จะทำงานร่วมกันกับโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติไม่ให้เสียความสมดุลหรือโคลงตัวเมื่อเกิดอาการอันเดอร์สเตียร์ หากแต่จะควบคุมการเข้าโค้งให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ทำให้การขับขี่ช่วงเข้าโค้งเป็นไปด้วยความคล่องตัวปราดเปรียว
สุดยอดระบบมัลติมีเดียภายในห้องโดยสาร
จอแสดงผลแบบ SPLITVIEW ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงด้วยคุณสมบัติพิเศษของการฉายภาพ 2 มุมมองภายในจอแสดงผลเดียวกัน ในขณะที่ผู้ขับขี่อ่านแผนที่จากระบบนำทาง ผู้โดยสารด้านหน้าสามารถรับชมภาพยนตร์จากเครื่องเล่นดีวีดีไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการทำงาน COMAND APS พร้อม COMAND Controller ที่ใช้งานง่ายและสามารถเข้าถึงฟังก์ชั่นการทำงานอุปกรณ์ต่างๆได้รวดเร็วอาทิ บลูทูธ ยูเอสบีพอร์ต หรือเอสดีการ์ด ที่ช่วยสร้างความเป็นไปได้ให้กับความบันเทิงในทุกรูปแบบ ภายในลิ้นชักเก็บของตรงหน้าผู้โดยสารด้านหน้ายังมีช่องเสียบสำหรับ Media Interface ที่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือ ไอพ็อด หรือเครื่องมือสื่อสารอิเล็คทรอนิคส์อื่นๆ ได้อีกด้วย โดยการทำงานทั้งหมดควบคุมผ่านระบบสั่งการด้วยเสียง ที่สามารถเชื่อมและเลือกสั่งการทำงานได้ทั้งระบบเนวิกเกชั่น โทรศัพท์หรือสถานีวิทยุได้ด้วย เพียงพูดชื่อสถานีวิทยุหรือชื่อในสมุดโทรศัพท์เท่านั้น
ทั้งนี้ CL 500 Blue EFFICIENCY Coupe มาพร้อมด้วยพวงมาลัยด้านขวาสำหรับเมืองไทย กับ 3 เฉดสีให้เลือกสรร (Peridot brown, Magnetite black และCornetite blue) ในสนนราคา 15,490,000 บาท และเพิ่มความเร้าใจด้วยชุดแต่ง AMG, 16,290,000 บาท