เปิดศักราชใหม่หัวใจคึกคัก พนักงาน-ผู้บริหารค่ายรถยนต์รับทรัพย์ตบโบนัสกันถ้วนหน้า เหตุปีที่แล้วอู้ฟู่ ทำยอดขายเกินเป้าหมายที่วางเอาไว้ ส่วนปีกระต่ายทอง 2554 สถานการณ์ยังดูสดใสไร้ปัจจัยลบ โดยแม่ทัพทุกค่ายต่างเห็นผ้อง และฟันธงว่าตลาดรวมมีโอกาสขายทะลุ 800,000คันแน่นอน...ส่วนใครมองทิศทางตลาดอย่างไร “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” รวบรวมความเห็น
โตโยต้าชี้ตลาดเก๋งแข่งดุ
เริ่มจากทรรศนะค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ “โตโยต้า” ซึ่ง วิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย มองว่า ตลาดรถยนต์ปี 2554 จะเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ และสอดคล้องกับ GDP ของประเทศ โดยยอดขายหลายค่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ส่วนแบ่งการตลาดยังอยู่ระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรหวือหวา
“โตโยต้าคาดว่ายอดขายตลาดรวมปี 2554 จะโตขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2553 โดยเซกเมนท์ปิกอัพยังเป็นการสู้กันระหว่าง 2 ค่ายใหญ่คือ โตโยต้า กับอีซูซุ ขณะที่การเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ของค่ายอื่นๆก็ต้องจับตามองเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือรถยนต์นั่งที่จะมีการแข่งขันหนักกว่าปิกอัพ เหตุมาจากการเปิดตัวรถใหม่หลายรุ่น ซึ่งผู้บริโภคจะเลือกซื้อตาม กระแสตลาด รวมถึงราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย”
อีซูซุมองบวก 8.5 แสนคัน
ด้าน ปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2553ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจมากเท่าที่หลายฝ่ายวิตกกังวล ประกอบกับความวุ่นวายทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย ผู้บริโภคจึงมีความมั่นใจในการใช้จ่าย อีกทั้งราคาพืชผลการเกษตรส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง และการส่งออกสินค้าต่างๆ เริ่มฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในปี 2553 ขยายตัวอย่างมาก
ปัจจัยบวกต่างๆในปีที่แล้วจะส่งผลให้ตลาดรถยนต์เมืองไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2554 และคาดว่ายอดขายโดยรวมจะอยู่ระดับ 840,000 -850,000 คัน อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 3 ประการ ที่อาจกระทบต่อยอดขายรถยนต์ คือ ความผันผวนของราคาน้ำมัน การแข็งค่าของเงินบาท และความวุ่นวายทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ฮอนด้า-นิสสัน”มุ่งเป้ารถเก๋ง
ต้องเรียกว่าเป็นเจ้าพ่อรถเก๋งไปแล้วสำหรับ “ฮอนด้า” ซึ่งปีที่ผ่านมาทำยอดขายทะลุ 100,000คัน ยิ่งปีนี้เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในตระกูลอีโคคาร์อย่าง “บริโอ้” คาดว่าจะสร้างความคึกคักและปั้นยอดขายให้ฮอนด้าอย่างสนุกมือ
“จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ต้องขอบคุณผู้บริโภคชาวไทยที่ให้การตอบรับรถยนต์ฮอนด้าเป็นอย่างดี โดยเราจะมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า และบริการเพื่อความพอใจสูงสุดของลูกค้าต่อไป ส่วนยอดขายปีนี้เรายังไม่ได้ตั้งเป้าหมาย แต่ตลาดรวมน่าจะมีการแข่งขันรุนแรง หรือยอดขายสูงกว่า 800,000คันแน่นอน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นรถยนต์นั่งไม่ต่ำกว่า 350,000 คัน”อาซึชิ ฟูจิโมโต ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”
ในส่วน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดย ประพัฒน์ เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย เปิดเผยว่า ปีนี้ตลาดรถยนต์รวมยังคงขยายตัว ส่วนหนึ่งเพราะหลายค่ายเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ และคาดว่าตัวเลขจะอยู่ระดับ 850,000 คัน
“แม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรง ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังคงขับเคลื่อนไปได้ ส่วนราคาน้ำมันที่คาดว่าจะขยับสูงขึ้น ไม่น่ามีผลกระทบมากนัก เพราะเทรนด์ตลาดตอนนี้คือ รถเล็ก รถประหยัดพลังงาน ทำให้ราคาน้ำมันไม่มีผลเหมือนเช่นที่ผ่านมา ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังคือ ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ เพราะในอดีตพบว่าหากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาจะส่งผลกระทบด้านอื่นๆด้วย อย่างไรก็ตามถ้าเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นจริงก็คงไม่ร้ายแรงเท่าวิกฤตปี 2540 ขณะเดียวกันอีกปัจจัยที่ต้องติดตามคือ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลให้สถาบันการเงินต้องปรับแผนงาน และเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ”นาย ประพัฒน์ กล่าว
มาสด้า-จีเอ็ม”ไม่เป็นกังวล
มาสด้าเป็นอีกค่ายที่ยิ้มรับยอดขายเติบโตกว่า 200% ในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าอานิสงค์หลักมาจากเก๋งเล็กยอดฮิต “มาสด้า2” ที่สร้างยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำ และมาปีนี้ยังมีทีเด็ดกับ “มาสด้า3 โมเดลเชนจ์” เก๋งคอมแพกต์ที่จะเข้ามาสร้างปรากฎการณ์ “ซูม-ซูม” อีกครั้ง
“การเติบโตของมาสด้า เป็นผลมาจากการเพิ่มรถยนต์รุ่นใหม่ที่ตรงกับความต้องการลูกค้า รวมถึงการขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย โชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งปีนี้เราจะเดินหน้าลุยแนวทางดังกล่าวอย่างเข้มข้น” โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวและมองทิศทางในปี2554ว่า
ตลาดรถยนต์ไทยในปี 2552 ฐานยอดขายต่ำ แต่มาถึงปี 2553 ยอดขายกลับพุ่งสูงขึ้น ทำให้มาสด้ามองว่าปี 2554 ยอดขายน่าจะมากกว่า 800,000 คัน หรือเติบโตประมาณ 5% หรือ เมื่อเทียบกับปี 2553ส่วนปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยที่มีการขยับขึ้นนั้น ไม่น่ามีผลกระทบกับอุตสาหกรรมยานยนต์แต่อย่าง
ด้าน มาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจในศักยภาพรัฐบาลไทย และอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงกล้าลงทุนในโปรเจกต์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ปี 2554 ยังไม่มีปัจจัยที่ต้องห่วง ทั้ง การเมือง อัตราแลกเปลี่ยน หรือ ค่าเงินบาท แต่เชื่อว่าการแข่งขันยังคงดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นตลาดรถยนต์นั่งและปิกอัพ เพราะทุกค่ายต่างเตรียมเปิดตัวรถใหม่ ส่วนยอดขายรวมยังคาดการณ์ลำบาก แต่ถ้าจะให้ประเมิณตอนนี้ ก็น่าจะมีโอกาสถึง 850,000คันเช่นกัน
เบนซ์-BMWหวั่นตลาดผันผวน
สำหรับตลาดรถยนต์ระดับหรูในปี 2553 ถือว่ามีความเคลื่อนไหวให้ติดตามตลอดเวลา โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่าง 2 คู่ปรับเยอรมนี “เมอร์เซเดส-เบนซ์” กับ “บีเอ็มดับเบิลยู” ซึ่งค่ายแรก ศาสตราจารย์ ดร.อเลกซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ออกมาย้ำว่า ตลาดรถหรูปี 2553 เติบโต 20-30% ส่งผลให้ยอดขายรวมถึง9,000-10,000 คัน ขณะที่บริษัทยังครองความเป็นผู้นำในตลาดด้วยสัดส่วนการขายมากกว่า 50%
แต่เมื่อถามถึงสถานการณ์ตลาดรถหรูปีนี้ “ศาสตราจารย์ เพาฟเลอร์” ยังสงวนคำพูด โดยบอกว่า ไม่สามารถคาดเดาได้ เนื่องจากมีองค์ประกอบหลายด้านที่ต้องนำมาคิด แต่ยังหวังให้รัฐบาลมีการพิจารณาโครงสร้างการจัดเก็บภาษีใหม่ จากปัจจุบันที่มีการคิดซ้ำซ้อนกันถึง 4 ตลบ ซึ่งถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ราคารถดึงดูดใจผู้บริโภคมากกว่านี้
ผิดกับฝั่ง “บีเอ็มดับเบิลยู” ที่แม่ทัพการตลาดใหม่ถอดด้าม “ราล์ฟ บิสซิงเกอร์” วิเคราะห์เป็นฉากๆว่า ปี 2553 ตลาดรถหรูขยายตัวถึง 25% เมื่อเทียบกับปี 2552 ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูถือว่ามีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด เพราะมีอัตราเติบโตกว่า40%
อย่างไรก็ตามหลังจากเข้ามารับหน้าที่ในไทย “ราล์ฟ บิสซิงเกอร์” บอกว่า ตลาดเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างช่วงต้นปี จนถึงเดือนเมษายน มีความวุ่นวายทางการเมือง บรรยากาศการซื้อรถไม่เอื้ออำนวย แต่พอสถานการณ์คลี่คลาย สภาพตลาดกลับมาฟื้นตัวทันที
“เราต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง เพราะไทยเป็นตลาดที่ท้าทายและมีความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับยอดขาย จะขึ้นอยู่กับโปรดักต์ใหม่ๆเป็นหลัก ซึ่งเราเตรียมขยายไลน์สินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า และปีนี้จะมีการเปิดตัวรถโมเดลใหม่อย่างน้อย 2 รุ่น”
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการ ฝ่ายขายและการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังกล่าวสรุปว่า ความน่ากังวลของตลาดอยู่ที่อัตราค่าเงินบาทแข็ง แต่กระนั้นเชื่อว่าเซกเมนต์รถหรูปีนี้ยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้อัตราการเติบโตไม่สูงเท่าปี 2553 หรือน่าจะโตระดับ 15-20% เท่านั้น
...ทั้งหมดเป็นวิสัยทัศน์ของ แม่ทัพใหญ่ค่ายรถยนต์เมืองไทยที่มองเห็นถึงทิศทางอันสดใสของตลาด ขณะเดียวกันก็ไม่มองข้ามปัจจัยลบ ที่อาจกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง ค่าเงินบาทแข็ง การปรับอัตราดอกเบี้ย และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน...แต่สุดท้ายแล้วเชื่อว่าตลาดรถยนต์ปีกระต่ายทอง ไม่น่าพลาดทุบสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง!