xs
xsm
sm
md
lg

Nissan X-Trail : Best of both Worlds

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมรรถนะของ X-TRAIL โดดเด่นทั้งการใช้งานบนออนโรดและออฟโรด
ในช่วงรอยต่อระหว่างทศวรรษที่ 1990 เพื่อเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี (Crossover SUV) ที่พัฒนาจากพื้นฐานของรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะในกลุ่มของ C-Segment หรือรถยนต์คอมแพ็กต์ ถือเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าทั่วโลก โดยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัวด้วยความยอดเยี่ยมทั้ง 2 ด้าน คือ ออนโรดและออฟโรด

แน่นอนว่านิสสันเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอทางเลือกในตลาดกลุ่มนี้ให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน โดยนับจากปลายปี 2000 เป็นต้นมา เอสยูวีอย่าง X-TRAIL กลายเป็นชื่อซึ่งลูกค้าทั่วโลกคุ้นเคยและได้รับการตอบรับที่ดี

จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

ในยุคที่ราคาน้ำมันยังไม่ใช่ปัจจัยหลักของการตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน และตลาดรถยนต์ไซส์เล็กยังจำกัดวงอยู่แค่ไม่กี่แห่งในโลก รถยนต์ในสไตล์ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี โดยเฉพาะในกลุ่มที่พัฒนามาจากรถเก๋งระดับคอมแพ็กต์ ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมากมาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1990 และมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นิสสันจึงตัดสินใจเพิ่มอีกทางเลือกในตลาดนอกเหนือจากคู่แข่งอย่างโตโยต้าและฮอนด้า ด้วยครอสโอเวอร์ เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาบนพื้นตัวถังของนิสสันในรหัส FF-S ร่วมกับรถยนต์อย่างอัลมีรา และพรีมีร่าซึ่งเป็นโมเดลหลักที่ขายอยู่ในยุโรป โดยมีเป้าหมายในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกด้วยทางเลือกใหม่ของเอสยูวีที่สามารถใช้งานได้อย่างคล่องตัว และตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตกลางแจ้ง พร้อมความเหนือชั้นของระบบขับเคลื่อน 4WD ที่เหนือกว่าคู่แข่งระดับเดียวกันในตลาด ซึ่งในตลาดสหรัฐอเมริกา นิสสันวาง X-TRAIL ให้มีระดับการทำตลาดต่อจากรุ่น Xterra และ Parthfinder โดยในญี่ปุ่น นิสสันตั้งราคาเอาไว้ไม่แพงมาก แค่ 2 ล้านเยนเท่านั้น จึงได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างมาก

X-TRAIL รุ่นแรกมีรหัส T30 เปิดตัวในญี่ปุ่นด้วยเวอร์ชัน JDM เป็นแห่งแรกในเดือนตุลาคม 2000 จากนั้นในปี 2001 จึงเริ่มขยายแนวรุกออกสู่ตลาดนอกประเทศทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ขณะที่ตลาดจีน นิสสันนำ X-TRAIL เข้าไปทำตลาดเมื่อปี 2002 ส่วนชื่อรุ่นเป็นการเล่นคำด้วยการนำตัวอักษร X ซึ่งแสดงให้เห็นความท้าทายและความมุ่งมั่นแบบเต็มพิกัด โดยนิสสันเลือกใช้สไตล์การเล่นคำเหมือนกับคำว่า X-treme (Extreme) ที่หมายถึงพวกกีฬาแบบเร้าใจสุดชั้วและได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ จากนั้นก็นำคำว่า X มาร่วมกับ Trail เพื่อสื่อให้เห็นถึงสมรรถนะของตัวรถที่ลุยได้บนเส้นทางวิบากด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่

ในรุ่นแรกตัวรถเป็นทรงกล่อง 5 ประตูที่เน้นเหลี่ยมสันรอบคันและมีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทาน-cd 0.37 ส่วนขนาดความยาวอยู่ที่ 4,455 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,676 มิลลิเมตร พร้อมกับชูจุดเด่นในเรื่องความสมบุกสมบันทั้งสมรรถนะ และการออกแบบห้องโดยสารโดยเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทานและสามารถล้างน้ำได้เวลาเปื้อนฝุ่นหรือโคลน

ในเวอร์ชัน JDM มีทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 2,000 ซีซีล้วนๆ ทั้งรหัส QR20DE ที่มีกำลัง 150 แรงม้า และ SR20VET 280 แรงม้าที่มาทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVL จับคู่กับเทอร์โบ ซึ่งแบบแรกมีขายทั้งขับเคลื่อนล้อหน้าอย่างเดียวและ 4 ล้อ ส่วนแบบหลังมีแต่ขับ 4 ล้อ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะรุ่น E-ATx

ขณะที่เวอร์ชันยุโรปมีทางเลือกมากกว่า เพราะนอกจากรุ่น QR20DE แล้วยังมีเครื่องยนต์ใหญ่อย่าง 2,500 ซีซี 165 แรงม้าซึ่งมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ และเทอร์โบดีเซล 2,200 ซีซี 136 แรงม้าเป็นอีกทางเลือก

ปรับโฉมพร้อมลุยตลาดเซลล์เชื้อเพลิง

เมื่อเข้าสู่ปี 2003 นิสสันเริ่มทยอยปรับโฉมให้กับ X-TRAIL โดยเริ่มที่ญี่ปุ่นเป็นแห่งแรก ซึ่งนอกจากจะมีหน้าตาที่สดใหม่ขึ้นรอบคันแล้ว นิสสันยังใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการออกแบบ เช่น การนำแนวคิดของการหักพวงมาลัยให้งอขึ้นตั้งฉากกับพื้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออกจากห้องโดยสาร หรือที่เรียกว่า Pop-up Steering Column ส่วนเครื่องยนต์ที่ทำตลาดยังเหมือนเดิม คือ 2,000 ซีซี 150 และ 280 แรงม้าจากขุมพลัง 2 รหัส

สำหรับ X-TRAIL รุ่นแรกแม้ว่าในตลาดหลักบางแห่งจะเลิกขายไปแล้ว แต่สำหรับตลาดบางแห่งต่อไป โดยใช้ชื่อว่า X-TRAIL Classic

เข้าสู่ยุคใหม่ในเจนเนอเรชันที่ 2

จากเดิมที่เป็นรถยนต์โมเดลที่มีจุดเริ่มต้นในญี่ปุ่น สำหรับสายพันธุ์ที่ 2 ของ X-TRAIL การเปิดตัวครั้งแรกของโลกถูกย้ายมาจัดบนเวทีที่มีความเป็นอินเตอร์ฯ มากขึ้น และนิสสันเลือกใช้งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2007 สำหรับเผยโฉมเจนเนอเรชันที่ 2 ของ X-TRAIL ส่วนการทำตลาดเริ่มขึ้นที่ญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกเช่นเคยในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ก่อนจะถึงคิวของยุโรปในเวลาต่อมาอีกไม่นาน ขณะที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดาเลิกทำตลาด โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่เอสยูวีใหม่ที่ชื่อ Rogue พัฒนาเพื่อตลาดกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

X-TRAIL ใหม่มาพร้อมกับสโลแกน "SHIFT_challenging spirit." เพื่อแสดงให้เห็นถึงอีกระดับของความเปลี่ยนแปลงที่เหนือจากเจนเนอเรชันแรก และเป็นการเล่นคำที่สอดคล้องกับสโลแกน SHIFT ของนิสสัน พร้อมการสานต่อความสำเร็จจากรุ่นแรกซึ่งครองยอดขายเอสยูวีสูงสุดประจำปีในญี่ปุ่นถึง 5 ปีติดต่อกัน (2002-2006) ขณะที่รุ่นที่ 2 หลังจากเปิดตัวออกมาก็ได้รับการตอบรับทีด้วยยอดขายสูงสุดในญี่ปุ่นติดต่อกัน 2 ปี (2007-2008)

สำหรับรุ่นใหม่มากับรหัส T31 โดดเด่นด้วยตัวถังแบบ 5 ประตูซึ่งถูกพัฒนาบนพื้นตัวถังใหม่ซึ่งด้านหลังใช้ระบบช่วงล่างแบบมัลติลิงค์ มีความยาว 4,590 มิลลิเมตร กว้าง 1,785 มิลลิเมตร สูง 1,770 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,629 มิลลิเมตร ได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกในสไตล์ X-Construction Design ผสมผสานสัมผัสถึงความแข็งแกร่ง และความโฉบเฉี่ยวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

นอกจากนั้น X-TRAIL ใหม่ยังตอบสนองการใช้งานด้วยประโยชน์ใช้สอยอย่างเต็มที่ด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่มีความกว้างขวาง เบาะนั่งหลังสามารถพับเก็บเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย และบนพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับลิ้นชักซึ่งสามารถดึงออกมาเพื่อเก็บสัมภาระขนาดเล็กได้ อีกทั้งผู้ขับสามารถรับทราบข้อมูลของการใช้งานผ่านทางหน้าจอแบบ MID หรือ Multi Information Display

ในเวอร์ชัน JDM มีเครื่องยนต์ทำตลาด 2 รุ่นแบบ 4 สูบเรียงเหมือนเดิม โดยในรุ่น 2,000 ซีซีถูกเปลี่ยนจากรหัส QR มาเป็น MR20DE ซึ่งมีกำลังสูงสุด 136 แรงม้า และเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ใหญ่ในรหัส QR25DE 2,500 ซีซี 170 แรงม้า และจากนั้นในปี 2008 ก็เพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกกับรหัส M9R แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี 173 แรงม้าโดยระบบส่งกำลังมีทั้งอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT และอัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนสเปกยุโรปมีขายกับเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 2,000 ซีซีเหมือนกันแต่มีรุ่น 150 แรงม้าเพิ่มเข้ามาด้วย

เปิดมิติใหม่ของการเดินทางเพื่อคนไทย

สำหรับในเมืองไทย นิสสันตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยเครื่องยนต์ MR20DE 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี พร้อมระบบ พร้อมระบบวาล์วแปรผัน CVTC และ Compact Balancer shaft ซึ่งช่วยทำให้เครื่องยนต์มีการทำงานที่นุ่มนวลและแรงสั่นสะเทือน โดยมีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 136 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที

ตัวรถส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง Xtronic CVT ที่มีโหมด M-Mode แบบ 6 จังหวะให้เลือกใช้ พร้อมระบบ ASC หรือ Adaptive Shift Control ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้กว่า 700 รูปแบบ รองรับทุกสไตล์การขับ ช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ไว้อย่างต่อเนื่อง ให้อัตราเร่งดี ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น พร้อมลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

นอกจากนั้น ในเมืองไทย X-TRAIL ในแบบขับเคลื่อน 2 ล้อยังได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องไม่แพ้รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยจุดเด่นของความคล่องตัวโดยเฉพาะการใช้งานในเมืองและบนทางเรียบ อีกทั้งยังสามารถตอบสนองในด้านสมรรถนะอย่างทันใจ เช่นเดียวกับอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำกว่า และเพียบพร้อมด้วยความปลอดภัยทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD และระบบเสริมแรงเบรก หรือ BA และเข็มขัดนิรภัย 3 จุดแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติสำหรับด้านหน้า และแบบ 3 จุดครบทั้ง 3 ที่นั่งสำหรับเบาะนั่งด้านหลัง

นับจากรุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2000 มาจนถึงปัจจุบันกับ 2 เจนเนอเรชันในการทำตลาด X-TRAIL มียอดขายทั่วโลกรวมแล้วกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งรุ่นแรกมียอดขายใน 167 ทั่วโลกมากกว่า 800,000 คัน ขณะที่รุ่นที่ 2 นับจากเริ่มขายในปลายปี 2007 จนถึงกระทั่งถึงช่วงปลายปี 2008 ก็กวาดยอดขายไปมากกว่า 140,000 คัน ซึ่งนี่คือ สิ่งที่ยืนยันให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของนิสสัน X-TRAIL ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลกได้เป็นอย่างดี





ดูรายละเอียดเพิมเติมได้ที่ : www.nissan.co.th


รายละเอียดภายในห้องโดยสารมีการออกแบบได้อย่างลงตัว และเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทานและทำความสะอาดง่ายมาใช้เพื่อเอาใจคนชอบลุยเป็นหลัก
X-TRAIL เจนเนอเรชันที่ 2 เริ่มทำตลาดปลายปี 2007 และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั่วโลก

ภายในห้องโดยสารออกแบบเพื่อตอบรับกับความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอยเหมือนกับรุ่นแรก

ใครที่รักการลุย ALL MODE 4X4 แบบปรับปรุงใหม่สามารถตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ได้อย่างครบครันเช่นเคย

นอกจากรุ่นธรรมดาแล้ว ในญี่ปุ่นยังมีเวอร์ชันตกแต่งพิเศษที่เรียกว่า AXIS High Performance Spec ทำตลาดอีกด้วย
นอกจากรุ่นธรรมดาแล้ว นิสสันยังจับเอา X-TRAIL มาแปลงโฉมเป็นต้นแบบตั้งแต่รุ่นแรกๆ กับการจับใส่ระบบเซลล์เชื้อเพลิงตั้งแต่ปี 2003 และมีให้บริการเช่าใช้
X-TRAIL FCV เวอร์ชันปี 2005 ซึ่งมีการอัพเกรดระบบด้วยการเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 90 กิโลวัตต์ เช่นเดียวกับแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนที่นิสสันพัฒนาขึ้นมาเอง
ทดสอบความอึดของระบบเซลล์เชื้อเพลิงที่มักจะแพ้ภัยหนาว ด้วยการนำไปทดสอบการใช้งานทางตอนเหนือของญี่ปุ่น
นอกจากจะประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว นิสสันยังนำ X-TRAIL FCV ไปแล่นจับเวลาที่สนามนูร์บูร์กริงในเยอรมนีด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น