xs
xsm
sm
md
lg

เจาะกลยุทธ์คู่ฟัด"ฮอนด้า-ยามาฮ่า"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดรถจักรยานยนต์ร้อนแรงตั้งแต่ต้นปี เมื่อสองยักษ์ใหญ่ “ฮอนด้า-ยามาฮ่า” ส่งรถรุ่นใหม่เขย่าตลาด และนั่นเป็นเพียงแค่บทเริ่มต้นเท่านั้น เพราะระยะเวลาที่เหลือตลอดทั้งปี ย่อมดุเดือดมากกว่านี้แน่นอน จากการงัดกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ เพื่อชิงตลาดที่กำลังสดใส ส่วนจะมีอะไรบ้าง?... ขอล้วงลึกจากปากของ “ธีระพัฒน์ จิวะพงศ์” กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด และ “ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด มาให้รับทราบกัน
(ซ้าย)ธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ จากฮอนด้า (ขวา) ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ ยามาฮ่าส่งเข้าประกวด
- ภาพตลาดรถจักรยานยนต์?

ธีระพัฒน์ : ทิศทางตลาดเริ่มมีการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2010 นี้ โดยคาดว่าจะตลาดรวมจะโตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10% หรือมียอดขายรวมที่ 1.68 ล้านคัน ซึ่งเป็นการประเมินจากพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย และการประมาณการของภาครัฐ ที่คาดอัตราเติบโตของจีดีพีอยู่ที่ 3-5%

ประพันธ์ :
จากการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 2010 นี้ จะอยู่ที่ประมาณ 3.3-5.3% ในขณะที่อัตราการเติบโตของจีดีพีในปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณลบ 3% ดังนั้นยามาฮ่าคาดการณ์ว่าตัวเลขของตลาดรวมในปีนี้ จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11% โดยตัวเลขของตลาดรวมอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน

- ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบ?

ธีระพัฒน์ : สิ่งที่อาจจะส่งผลให้ตลาดชะลอตัว อยู่ที่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะรุนแรงหรือไม่ และราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจ

ประพันธ์ : ราคาน้ำมันของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น และสภาวะความผันผวนทางการเมือง ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว จนกระทบต่อตลาดรถจักรยานยนต์

- เตรียมรับมืออย่างไร?

ธีระพัฒน์ : การเมืองคงไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ต้องการอยากให้เหตุการณ์สงบไม่รุนแรง ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ฮอนด้าได้มีการเตรียมรับมือมาก่อนแล้ว โดยการนำระบบหัวฉีด PGM-FI มาใช้เป็นรายแรก และตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป รถจักรยานยนต์ฮอนด้าจะเปลี่ยนมาใช้ระบบหัวฉีดหมดทุกรุ่น

ประพันธ์ : ไม่เพียงราคาน้ำมันแพง ยังมีเรื่องมาตรฐานไอเสียระดับ 6 (ยูโร3) ที่เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป ซึ่งรถยามาฮ่าทุกรุ่นผ่านมาตรฐานไอเสียดังกล่าวแล้ว และในปีนี้จะมีรุ่นหัวฉีดออกมา เพื่อแก้ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันและมาตรฐานไอเสีย รวมถึงอนาคตที่จะปรับสู่ระดับ 7 คาดว่าจะใช้เวลา 4 ปี
ฮอนด้า เวฟ110 ไอ
รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่?

ธีระพัฒน์ : ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป ฮอนด้าได้แนะนำรถจักรยานยนต์ครอบครัว “ฮอนด้า เวฟ110 ไอ” แบบเกียอัตโนมัติ หรือเอ.ที.สู่ตลาดเป็นครั้งแรก เพื่อตอบสนองการขับขี่ที่ง่ายสะดวก และอย่างที่บอกในเดือนมีนาคมปีนี้รถฮอนด้าจะใช้ระบบหัวฉีด PGM-FI หมดทุกรุ่น พร้อมกันนี้ฮอนด้ากำลังจะยกเลิกการผลิตรถจักรยานยนต์ 3 รุ่น ได้แก่ ฮอนด้า เวฟ100, ฮอนด้า โซนิค และรุ่นดรีม ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปเช่นกัน โดยขณะนี้กำลังพิจารณานำรุ่นใหม่ที่ตรงกับตลาดมาทดแทน

ประพันธ์ : ล่าสุดยามาฮ่าได้เปิดตัว “มิโอ 125 ใหม่” รถจักรยานยนต์เครื่องออโตเมติก CVT 125 ซีซีสู่ตลาด และเป็นครั้งแรกของวงการรถจักรยานยต์ในเมืองไทย ที่ได้รับเกียรติจากแชมป์โลก และรองแชมป์โลกโมโตจีพีปีล่าสุด “วาเลนติโน่ รอสซี่” และ “ฮอร์แก้ ลอเรนโซ่” มาร่วมเปิดตัวในครั้งนี้ พร้อมกับยังเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่ 3 นักเตะซูเปอร์สตาร์ “ลีซอ” ธีรเทพ วิโนทัย, “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา และ “โอ๊ต” ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับมีโอ 125 ใหม่ และปีนี้ก็จะมีรถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีดแนะนำสู่ตลาดด้วย

กลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้?

ธีระพัฒน์ : ฮอนด้าคงไม่ได้มุ่งเน้นไปทางใดทางหนึ่ง ระหว่างสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง หรือมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง แต่เรามองกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก เพราะลูกค้ามีความหลากหลาย การพิจารณาจะใช้กลยุทธ์อะไร หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ จึงดูที่ตัวผลิตภัณฑ์ว่าอันไหนเหมาะสมกับอะไร

ประพันธ์ : ปัจจุบันแทบทุกยี่ห้อล้วนทำเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ กิจกรรมการตลาด รวมถึงการทำตลาดแบบมิวสิคมาร์เก็ตติ้ง เพื่อสร้างความแตกต่าง ในปีนี้ยามาฮ่าจะใช้เน้นกลยุทธ์ “สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง” ซึ่งจากการสำรวจลูกค้าต่างชื่นชอบกีฬาฟุตบอลมากที่สุด ยามาฮ่าจึงเข้าไปเน้นกิจกรรมตรงนี้

เป้าหมายการขายหรือแชร์?

ธีระพัฒน์ : ฮอนด้าตั้งเป้าการขายปีนี้ไว้ที่ 1.15 ล้านคัน ยังคงเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง และการที่ส่วนแบ่งการตลาดหรือแชร์ลดลง เราไม่ได้มองตรงนั้นแต่ดูที่ยอดขายมากกว่า และมุ่งให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพรถ ความพึงพอใจ และการบริการลูกค้าเป็นหลัก แต่ยอมรับว่าแชร์ลดลงลง เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีรถประเภทใหม่อย่างรถเอ.ที. ประกอบกับแนวโน้มตลาดผู้บริโภคให้ความนิยมรถเอ.ที.มากขึ้น คาดจะเติบโตจาก 46.5% ในปี 2552 เป็น 54% ในปี 2553 ขณะที่ฮอนด้าเพิ่งจะมีไม่นาน แต่ปีนี้ถือว่ามีความพร้อมในส่วนผลิตภัณฑ์มาก รวมถึงการเป็นผู้นำในเทคโนโลยีรถหัวฉีด จึงเชื่อว่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย และจะเห็นว่าเดือนมกราคาที่ผ่านมา ฮอนด้ามีแชร์ถึง 72%

ประพันธ์ : ยามาฮ่าตั้งเป้าการขายอยู่ที่ 4.8 แสนคัน มีอัตราการเติบโตถึง 12% โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งทางการตลาด เพิ่มขึ้นหรือใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ทำได้ 28% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวเมื่อเทียบกับปี 2008 อันเป็นผลมาจากในภาคใต้และภาคเหนือที่มีแชร์เกิน 20% โดยเฉพาะภาคใต้ที่เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา ยามาฮ่ามีแชร์ไม่ถึง 3% แสดงให้เห็นว่าลูกค้ามีความเชื่อมั่น และตอบรับแบรนด์ยามาฮ่ามากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในช่วงที่ผ่านมาดังจะเห็นได้จากการเป็นผู้นำในรถแบบเอ.ที. ที่มีส่วนแบ่งมากถึง 53% ในปีที่ผ่านมา รวมถึงปีนี้ที่จะเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าอย่างแตกต่าง ผ่านเครือข่ายกรขาย บริการ และอะไหล่ รวมถึงการรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ พร้อมกับขยายลูกค้าใหม่
กำลังโหลดความคิดเห็น