จากแนวทางที่มักจะชอบนำต้นแบบซึ่งถูกเปิดตัวออกมาปรับแต่งเพื่อนำมาใช้กับรุ่นจำหน่ายจริง เหมือนอย่างที่อี-คลาสรุ่นปัจจุบัน W212 ถูกปรับปรุงมาจากต้นแบบรุ่น Fascination Concept ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 ดังนั้นเมื่อค่ายดาว 3 แฉกเผยรายละเอียดของต้นแบบรุ่นใหม่ออกมา ก็เลยหนีไม่พ้นเรื่องของการจับโยงไปกับการเป็นภาพร่างก่อนที่จะกลายมาเป็นจริงของรถยนต์ในสายการผลิต

เช่นเดีนวกับกับ F800 Style Concept ที่เปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 ก็ถูกจับโยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเวอร์ชันซีดาน 4 ประตูสุดสปอร์ตของสายพันธุ์ CLS-Class ซึ่งเหตุผลก็คงหนไม่พ้นเรื่องของช่วงเวลาที่สอดคล้องกันในการเปิดตัว เพราะ CLS รุ่นปัจจุบันก็เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ใกล้ถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนโฉม

อย่างไรก็ตามตรงนั้นเป็นเรื่องที่ถูกโยงเข้ามา แต่ความจริงแล้วต้นแบบรุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อนำเสนอถึงพื้นตัวถังรุ่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการรองรับกับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกแบบต่างๆ โดยเฉพาะ ไฮบริด, เซลล์เชื้อเพลิง เรียกว่าเป็นพื้นตัวถังแบบ Multi-Drive Platform ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้กับรถยนต์ซีดานขนาดใหญ่ เรียกว่าด้วยพื้นตัวถังรุ่นนี้สามารถรองรับกับเลย์เอาท์การจัดวางของชิ้นส่วนในระบบของเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกข้างต้นได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องพัฒนาพื้นตัวถังรุ่นใหม่แบบแยกเฉพาะขึ้นมารองรับ

ตัวรถมีความยาวในระดับ 4,650 มิลลิเมตร และเป็นซีดาน 4 ประตูที่มีความแปลก เพราะว่าประตูบานหลังแทนที่จะกางออกเหมือนกับรถยนต์ทั่วไปก็กลับเป็นแบบสไลด์ไปทางด้านหลังเหมือนกับพวกมินิแวน ดูแปลกตาไปอีกแบบ ขณะที่รูปลักษณ์ด้านหน้าถือเป็นสไตล์ใหม่ที่ค่ายดาว 3 แฉกกำลังปรับปรุงและพัฒนาเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งมีความโดดเด่นที่รูปทรงของกระจังหน้า และไฟหน้าที่ใช้หลอดแบบ LED
ในรุ่นต้นแบบนี้มากับเทคโนโลยีไฮบริดแบบ PHEV หรือ Plug-in โดยเป็นการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ที่มีการผลิตกำลังออกมาได้ถึง 300 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 109 แรงม้า ทำให้เมื่อทั้ง 2 ส่วนทำงานร่วมกันระบบสามารถผลิตกำลังสูงสุดรวม 409 แรงม้า ขณะที่แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม-ไอออนมีขนาด 10 kWh สามารถเสียบเข้ากับปลั๊กไฟในครัวเรือนได้เลย และตัวรถมีโหมด EV ซึ่งสามารถขับรวมระยะทางได้ 18 ไมล์ หรือ 30.5 กิโลเมตร ในกรณีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์จจนเต็ม

สำหรับสมรรถนะการขับเคลื่อน เร้าใจบนความประหยัดกับตัวเลขอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และประหยัดน้ำมันด้วยตัวเลข 34.5 กิโลเมตร/ลิตร และมีการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับ 68 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
ถ้าเบื่อรถยนต์แบบม PHEV พื้นตัวถังรุ่นนี้ก็สามารถติดตั้งระบบเซลล์เชื้อเพลิงได้ ซึ่งตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 29.5 กก.-ม. ส่วนถังเก็บไฮโดรเจนมีทั้งหมด 4 ถังและถูกจัดวางอย่างลงตัวอยู่ในตัวรถโดยไม่เบียดบังพื้นที่ใช้สอย

นอกจากงานออกแบบแล้ว F800 Style Concept ยังติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ เช่น PRE-SAFE 360 องศา เพิ่มความปลอดภัยรอบด้านในระหว่างการเดินทาง และระบบ Distronic Plus รุ่นใหม่แบบ Traffic Jam Assisstance ที่ได้รับการปรับปรุงมาเพื่อรองรับกับการใช้งานในเมืองซึ่งต้องเผชิญกับสภาพการจราจรติดขัด
เปิดตัวแน่ในเจนีวา ส่วนเรื่องที่ว่าจะกลายมาเป็น CLS รุ่นใหม่หรือไม่นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป




เช่นเดีนวกับกับ F800 Style Concept ที่เปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 ก็ถูกจับโยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเวอร์ชันซีดาน 4 ประตูสุดสปอร์ตของสายพันธุ์ CLS-Class ซึ่งเหตุผลก็คงหนไม่พ้นเรื่องของช่วงเวลาที่สอดคล้องกันในการเปิดตัว เพราะ CLS รุ่นปัจจุบันก็เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ใกล้ถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนโฉม
อย่างไรก็ตามตรงนั้นเป็นเรื่องที่ถูกโยงเข้ามา แต่ความจริงแล้วต้นแบบรุ่นนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อนำเสนอถึงพื้นตัวถังรุ่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการรองรับกับเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกแบบต่างๆ โดยเฉพาะ ไฮบริด, เซลล์เชื้อเพลิง เรียกว่าเป็นพื้นตัวถังแบบ Multi-Drive Platform ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้กับรถยนต์ซีดานขนาดใหญ่ เรียกว่าด้วยพื้นตัวถังรุ่นนี้สามารถรองรับกับเลย์เอาท์การจัดวางของชิ้นส่วนในระบบของเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกข้างต้นได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องพัฒนาพื้นตัวถังรุ่นใหม่แบบแยกเฉพาะขึ้นมารองรับ
ตัวรถมีความยาวในระดับ 4,650 มิลลิเมตร และเป็นซีดาน 4 ประตูที่มีความแปลก เพราะว่าประตูบานหลังแทนที่จะกางออกเหมือนกับรถยนต์ทั่วไปก็กลับเป็นแบบสไลด์ไปทางด้านหลังเหมือนกับพวกมินิแวน ดูแปลกตาไปอีกแบบ ขณะที่รูปลักษณ์ด้านหน้าถือเป็นสไตล์ใหม่ที่ค่ายดาว 3 แฉกกำลังปรับปรุงและพัฒนาเพื่อนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งมีความโดดเด่นที่รูปทรงของกระจังหน้า และไฟหน้าที่ใช้หลอดแบบ LED
ในรุ่นต้นแบบนี้มากับเทคโนโลยีไฮบริดแบบ PHEV หรือ Plug-in โดยเป็นการจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน วี6 ที่มีการผลิตกำลังออกมาได้ถึง 300 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 109 แรงม้า ทำให้เมื่อทั้ง 2 ส่วนทำงานร่วมกันระบบสามารถผลิตกำลังสูงสุดรวม 409 แรงม้า ขณะที่แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม-ไอออนมีขนาด 10 kWh สามารถเสียบเข้ากับปลั๊กไฟในครัวเรือนได้เลย และตัวรถมีโหมด EV ซึ่งสามารถขับรวมระยะทางได้ 18 ไมล์ หรือ 30.5 กิโลเมตร ในกรณีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์จจนเต็ม
สำหรับสมรรถนะการขับเคลื่อน เร้าใจบนความประหยัดกับตัวเลขอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 4.7 วินาที และความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และประหยัดน้ำมันด้วยตัวเลข 34.5 กิโลเมตร/ลิตร และมีการคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับ 68 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
ถ้าเบื่อรถยนต์แบบม PHEV พื้นตัวถังรุ่นนี้ก็สามารถติดตั้งระบบเซลล์เชื้อเพลิงได้ ซึ่งตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 29.5 กก.-ม. ส่วนถังเก็บไฮโดรเจนมีทั้งหมด 4 ถังและถูกจัดวางอย่างลงตัวอยู่ในตัวรถโดยไม่เบียดบังพื้นที่ใช้สอย
นอกจากงานออกแบบแล้ว F800 Style Concept ยังติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ เช่น PRE-SAFE 360 องศา เพิ่มความปลอดภัยรอบด้านในระหว่างการเดินทาง และระบบ Distronic Plus รุ่นใหม่แบบ Traffic Jam Assisstance ที่ได้รับการปรับปรุงมาเพื่อรองรับกับการใช้งานในเมืองซึ่งต้องเผชิญกับสภาพการจราจรติดขัด
เปิดตัวแน่ในเจนีวา ส่วนเรื่องที่ว่าจะกลายมาเป็น CLS รุ่นใหม่หรือไม่นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป