ซูซูกิเดินหน้าปูฐานตลาดไทย หลังจากบริษัทแม่เข้ามาตั้งโรงงานผลิต และทำตลาดในไทยต่อจากดิสทริบิวเตอร์เดิม ที่จะหมดสัญญาภายในสิ้นปีนี้ แต่เพื่อลดความสับสนของลูกค้า และปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มตระกูล “พรประภา” ผู้หุ้นคนไทยของตัวแทนจำหน่ายปัจจุบัน จึงให้สิทธิ์ขาย “ซูซูกิ สวิฟท์” รถโมเดลแรกที่ทำตลาดโดยบริษัทใหม่ พร้อมกับทำความเข้าใจดีลเลอร์กว่า 40 ราย และปรับเกณฑ์ให้เข้าข้อกำหนดใหม่ เพื่อวางเครือข่ายให้ครบ 60 แห่งรองรับอีโคคาร์ที่จะเปิดตัวในปี 2555 พร้อมเพิ่มทางเลือกสินค้าให้หลากหลาย เตรียมนำเข้าแฮทซ์แบ็กขนาดเล็ก“ซูซูกิ เอสเอ็กซ์4”(SX4) เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ จากอินโดนีเซียมาบุกตลาดรถไทย คาดเป็นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 107 แรงม้า ขณะที่โครงการอีโคคาร์ยังมีเฟสสอง ที่จะตามมาเขย่าคู่แข่งอีกระลอกในปี 2558 ด้วย
หลังจากเปิดตัวบริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (SAMT) บริษัทใหม่ที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจผลิตรถยนต์ซูซูกิในไทย และจะทำตลาดต่อจากบริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) หรือ SAT (ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มตระกูลพรประภาของไทย ถือหุ้นในสัดส่วน 60:40) ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2009 ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ซูซูกิ สวิฟท์ โดยขายผ่านดีลเลอร์รายใหม่ ที่เป็นของกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตและจำหน่ายสีทีโอเอ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากเอสเอเอ็มที เพื่อเป็นการรองรับแผนการบุกตลาดไทยอย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 จากการผลิตและเปิดตัวรถในโครงการอีโคคาร์ มูลค่าการลงทุน 7,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามการเข้ามาของซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น และกำหนดไม่ให้ดีลเลอร์ ที่ไม่ได้รับอนุมัติจากเอสเอเอ็มที หรือที่เอสเอทีดูแลอยู่ไม่สามารถขายขายรถรุ่นสวิฟท์ได้ จึงทำให้สร้างความสับสนต่อลูกค้าเป็นอย่างมาก แต่ล่าสุดเอสเอเอ็มทีได้เจรจาและตกลงให้สิทธ์ กับทางสยามอินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น ของกลุ่มตระกูลพรประภา ให้สามารถขายซูซูกิ สวิฟท์ ได้เช่นเดียวกัน เพื่อลดปัญหาความสับสนของลูกค้า และยังการเป็นการประณีประนอมกับทางกลุ่มพรประภา ในฐานะผู้ถือหุ้นคนไทยของเอสเอทีผู้นำเข้าและจำหน่ายซูซูกิในไทยปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ได้ยอมรับเงื่อนไขการเข้าเป็นดีลเลอต์ของเอสเอเอ็มทีแล้ว
ทั้งนี้ในส่วนของดีลเลอร์ที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 40 ราย ได้มีเจรจาและชี้แจงถึงการเข้ามาทำตลาดของเอสเอเอ็มที และให้ดีลเลอร์แต่ละรายปรับให้เข้ากับข้อกำหนดใหม่ โดยคาดว่าทุกอย่างน่าจะเรียบร้อยเป็นมาตรฐานเดียวกันภายในปีนี้ และเอสเอเอ็มทีจะเข้ามาบริหารงานเต็มรูปแบบในปี 2554 เมื่อสัญญาการเป็นดิสทริบิวเตอร์ในไทยของเอสเอทีหมดลง และคาดว่าจะมีดีลเลอร์ทั้งหมด 60 ราย เพื่อรองรับแผนการเปิดตัวรถยนต์โครงการอีโคคาร์ของซูซูกิในปี 2555
นอกจากจัดระบบเครือข่ายจำหน่ายให้ลงตัวแล้ว เพื่อปูฐานซูซูกิในไทยให้แข็งแกร่ง เอสเอเอ็มทีจึงได้มีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่ และได้เปิดตัว ซูซูกิ สวิฟท์ ซึ่งเป็นโมเดลแรกที่อยู่ภายใต้การดูแลของเอสเอเอ็มที ไปในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2009 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยถือเป็นโมเดลหลักของเอสเอเอ็มทีในการทำตลาดปีนี้ ส่วนรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ซูซูกิ วิทาร่า, แครี่ และเอพีวี ยังจะเป็นสินค้าหลักทำยอดขายในไทย แต่จะขึ้นอยู่กับทางเอสเอที จนกว่าปี 2554 จึงจะถ่ายโอนมาให้เอสเอเอ็มทีเข้ามาทำตลาดเต็มรูปแบบ
แต่เพื่อความหลากหลายและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เอสเอเอ็มทีจึงได้วางแผนที่จะนำเข้ารถโมเดลใหม่อีก 1 รุ่นในปีนี้ ตามที่ “ทาคายูคิ ซูกิยามา” ประธาน บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ได้เคยประกาศไว้ในการเปิดตัว ซูซูกิ สวิฟท์ ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2009 ที่ผ่านมา
แม้ซูกิยามาจะยังไม่เปิดเผยว่าจะเป็นรุ่นไหน แต่จากรายงานทางเอสเอเอ็มที รวมถึงทางผู้จำหน่ายอย่างทีโอเอ ได้มีการศึกษาและให้ความสนใจ “ซูซูกิ เอสเอ็กซ์4”(SX4) ที่ได้วางจำหน่ายในตลาดโลกไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยตัวถังแรกเป็นแฮทซ์แบ็ก 5 ประตู (มีเวอร์ชันครอสโอเวอร์ให้เลือกด้วย) และอีกตัวถังเป็นซีดาน 4 ประตู แล้วแต่ละประเทศจะเลือกทำตลาด โดยในส่วนของไทยทางเอสเอเอ็มทีสนใจทำตลาดตัวแฮทช์แบ็ก 5 ประตูมากที่สุด
ส่วนเครื่องยนต์ที่ติดตั้งใน ซูซูกิ เอสเอ็กซ์4 มีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 98 แรงม้า ขนาด 1.6 ลิตร 107 แรงม้า และรุ่น 2.0 ลิตร 143 แรงม้า พร้อมกันนี้ยังมีเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร 120 แรงม้าทำตลาด แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร น่าจะตัดออกไปได้ เพราะจะชนกันกับ ซูซูกิ สวิฟท์ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลยังไม่ใช่คำตอบของเอสเอเอ็มที
ดังนั้นจึงเหลือเพียงเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 และ 2.0 ลิตร ดูแนวโน้มแล้วน่าจะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร 107 แรงม้าเหมาะสมมากที่สุด เพราะหากเป็นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร จะทำให้การตั้งราคาที่จูงใจผู้บริโภคค่อนข้างลำบากพอสมควร
ส่วนแผนการทำตลาดของซูซูกิ เอสเอ็กซ์4 คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 นี้ โดยจะเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับรุ่นสวิฟท์ และยังได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีนำเข้าภายใต้กรอบอาฟต้าเป็น 0% ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา
สำหรับโครงการอีโคคาร์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเอสเอเอ็มทีได้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากตามแผนเดิมที่ขอรับส่งเสริมการลงทุน กับคณะการการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ(BOI) กำหนดจะเริ่มผลิตในปี 2553 นี้ และได้เลื่อนออกไปเป็นผลิตและเปิดตัวใน 2555 แทน
….นี่คือแผนการรุกครั้งใหญ่ของซูซูกิ และยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อเจ้าพ่อเก๋งเล็กแดนปลาดิบยังเตรียมแผนลงทุนในไทยต่อเนื่อง สำหรับโครงการพัฒนาอีโคคาร์รุ่นที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะออกสู่ตลาดในปี 2558 หลังจากเฟสแรกลงทุนไปกว่า 7,500 ล้านบาท เพื่อมาเขย่าคู่แข่งอีโคคาร์ยักษ์ใหญ่อีกด้วย!