xs
xsm
sm
md
lg

โนบุยูกิ มูราฮาชิ"ยกมาตรฐานมิตซูบิชิปูทางอีโคคาร์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในปี 2553 เป็นปีที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย แม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ ขณะเดียวกันการแข่งขันในตลาดก็รุนแรงมากขึ้น และมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกคือโครงการ “อีโคคาร์” รวมถึงการเปิดเสรีรถยนต์ ภายใต้กรอบอาฟต้า(AFTA) ทำให้แต่ละยี่ห้อคงต้องทำงานอย่างหนัก และ “มิตซูบิชิ” ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายรายใหญ่ของไทย จะมีแนวทางในการดำเนินงานและต่อสู้กับศึกปีเสือโหยอย่างไร? ตลอดจนโครงการอีโคคาร์ที่ประกาศว่า จะสรุปท่าทีชัดเจนภายในต้นปีนี้ จะออกหัวหรือก้อย?…. ทั้งหมด นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จะเป็นผู้ให้คำตอบ

โนบุยูกิ มูราฮาชิ
ปีนี้มิตซูบิชิตั้งเป้ายอดขายเท่าไร

ส่วนของมิตซูบิชิตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ประมาณ 30,000 คัน เติบโตจากปีที่แล้วกว่า 50% (19,626 คัน) ซึ่งเป็นผลมาจากการทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต และแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รวมถึงการแนะนำมิตซูบิชิ แลนเซอร์ เครื่องยนต์รองรับพลังงานซีเอ็นจี โดยผู้บริโภคให้การตอบรับและสั่งจองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของปิกอัพจะพยายามชูจุดเด่นมากมายให้ผู้บริโภครับทราบมากขึ้น

เราคงจะจัดรายการส่งเสริมการขาย เพื่อผลักดันให้ได้ 30,000 คัน โดยตั้งเป้ายอดขายปิกอัพเป็นสัดส่วน 40-50% ของทั้งหมด ที่เหลือเป็นเก๋งรุ่นต่างๆ และรถประเภทพีพีวี มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ส่วนรถยนต์ใหม่แนะนำสู่ตลาดปีนี้ไม่มี แต่จะมีรุ่นพิเศษออกมาสร้างสีสันเป็นระยะ

มองตลาดเก๋ง-ปิกอัพ

รถเก๋งปีนี้มีอัตราการเติบโตมาก โดยเฉพาะเก๋งขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดปิกอัพในไทยลดลง อีกทั้งน่าจะเป็นความชัดเจนในการเลือกใช้งานรถยนต์ของผู้บริโภคในไทย แน่นอนเก๋งคงจะต้องขยายตัวมากกว่า เพราะพฤติกรรมของคนที่อยู่ในเมืองจะหันมาใช้เก๋งมากขึ้น แต่ในต่างจังหวัดยังคงมีความต้องการปิกอัพเช่นเดิม เชื่อว่าทั้งสองตลาดจะโตเหมือนกัน แต่เก๋งอาจจะโตมากกว่า

ดังนั้นสิ่งสำคัญเราจะต้องพยายามนำเสนอจุดเด่นของรถมิตซูบิชิให้ผู้บริโภคได้รับทราบ และซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ได้มากที่สุด โดยในช่วงปีนี้เป็นต้นไปเราจะต้องสร้างพื้นฐานของมิตซูบิชิให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เครือข่ายการจำหน่าย และบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของโครงการอีโคคาร์ของมิตซูบิชิในอนาคต
ไทรทัน
ตลาดเก๋งปีนี้ค่อนข้างมีการแข่งขันรุนแรง

การแข่งขันเป็นสิ่งที่ดีของทุกคน ผู้ขาย ผู้ซื้อ เราก็นิ่งนอนใจไม่ได้ แต่เราต้องยอมรับสภาพที่แท้จริง เราจะทำอย่างไรให้รถมิตซูบิชิขายดีขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เราไม่กลัว การแข่งขันกันมากเป็นเรื่องธรรมดา และทุกประเทศก็เป็นอย่างนี้

ปีที่แล้วเรามีลูกค้าซื้อรถเราไปเกือบ 20,000 คัน ปีนี้เราหวัง 30,000 คัน เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้า 30,000 คน ที่ซื้อรถไป พอใจสินค้าเรา อันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด และหากเทียบตัวสินค้ากับคู่แข่ง ผมคิดว่ารถมิตซูบิชิมีจุดเด่นที่ไม่แพ้คู่แข่งรายใดเลย เราพยายามดึงจุดเด่นออกมาให้ลูกค้าได้รับทราบ บวกกับเราต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า ผมเชื่อว่าลูกค้าจะหันมาสนใจรถของเรา

ยอดขายแลนเซอร์ อีเอ็กซ์

อีเอ็กซ์ขายได้เดือนละ 400 คัน เท่ากับที่เราวางแผนไว้ ขณะที่แลนเซอร์ ซีเอ็นจี ก็ขายดีไม่แพ้กัน รวมทั้งหมด เรามียอดถึง 600-700 คันต่อเดือน ถ้าถามว่ามันน้อยไหมสำหรับรถรุ่นใหม่ ... ผมก็เห็นด้วย คือมิตซูบิชิก็ไม่ได้แนะนำรถรุ่นใหม่มานานแล้ว การที่ขายได้ 300-400 คันต่อเดือน เราพอใจ ผมอยากดูแลลูกค้า 300-400 คนให้ดีที่สุดก่อน
แลนเซอร์ อีเอ็กซ์
ปีที่แล้วมิตซูบิชิมียอดขายรวมอยู่ในอันดับ 5

ปีที่ผ่านเราอยู่อันดับ 5 เราแพ้นิสสัน อันดับไม่สำคัญ..แต่ไม่สำคัญเลยก็ไม่ได้ เราอยากได้อันดับ 4 แต่ได้ 5 ก็ไม่เป็นไร ถ้าเรามียอดขายเพิ่มขึ้น และผู้ใช้รถมิตซูบิชิได้รับความพอใจในการบริการ การใช้รถ และอยากซื้อรถมิตซูบิชิเพิ่มอีก อยู่อันดับ 5 ก็ได้ ปีที่แล้วเรามีส่วนแบ่งการตลาด 3.7 % ตามเป้า เราพอใจ และทางบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นก็พอใจ

ตกลงเรื่องอีโคคาร์ไปถึงไหนแล้ว

อย่างที่บอกปีนี้เราจะวางพื้นฐานให้แข็งแกร่งเพื่ออนาคต โดยเฉพาะปีที่มิตซูบิชิแนะนำอีโคคาร์สู่ตลาด ซึ่งจะพยายามทำให้ทันภายในปี 2012 หรือปีพ.ศ.2555 ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี เพราะเราต้องพัฒนาและศึกษาใหม่หมด ไม่เหมือนนิสสันที่เขามีผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เพียงแต่นำมาผลิตในไทยเท่านั้น

ส่วนการเปิดตัวหลังคู่แข่งคงมีทั้งได้เปรียบและเสียเปรียบ เพราะรัฐบาลให้เงื่อนไขเท่าๆ กัน การที่นิสสันเปิดมาก่อนและตามด้วยฮอนด้า คงจะได้เปรียบในการทำตลาดก่อน แต่เราก็มีเวลาศึกษาและดูการทำตลาดของคู่แข่ง และนำมาแก้ไขพัฒนาตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า

ต้องลงทุนเพิ่มและปรับไลน์การผลิตใหม่ไหม

ตอนนี้กำลังการผลิตเราใช้เต็มที่ ถ้าจะเอาอีโคคาร์ต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 แสนคัน ทำให้ต้องเพิ่มการลงทุน และเงื่อนไขอีโคคาร์จะต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท และคิดว่าเราต้องลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการทยอยลงทุนภายใน 2 ปี ในส่วนของการเพิ่มกำลังการผลิตรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน ตอนนี้ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการฟื้นตัวของตลาด

ยอดการส่งออก

ปีที่ผ่านมาขายในประเทศ 19,626 คัน ส่งออกประมาณ 109,000 คัน คาดว่าปีนี้จะมีการส่งออกเพิ่ม 20-30% หรือประมาณ 140,000 คัน โดยยังคงเป็นตลาดที่เคยส่งออกไปกว่า 140 ประเทศทั่วโลกเช่นเดิม แต่คำสั่งซื้อแต่ละประเทศสูงขึ้น และโดยเฉพาะปีนี้เปิดเสรีรถยนต์ในอาเซียน ทำให้มีคำสั่งซื้อรถยนต์ปาเจโร สปอร์ต ในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มากขึ้น รวมถึงออสเตรเลียด้วย ตกเดือนละ 1,000 คัน ทำให้ต้องปรับกำลังการผลิตในปีนี้ประมาณ 10%”
รถไฟฟ้า ไอมีฟ
สนใจจะทำรถไฮบริดไหม

เรามีความสนใจเช่นกัน และมิตซูบิชิมีรถยนต์ไฟฟ้าอย่างที่ทราบกันดี บริษัทแม่ก็ประกาศว่าในปี 2013 จะมีรถไฮบริด รวมถึงรถ Plug –In ไฮบริด ซึ่งทิศทางมันไปเช่นนั้นอยู่แล้ว

สำหรับเมืองไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ณ ช่วงเวลาอันใกล้พลังงานจากพืชเกษตรอย่างเอทานอล ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังสนับสนุนถือว่าเหมาะสม มีต้นทุนที่ต่ำกว่าพลังงานประเภทอื่นๆ และมิตซูบิชิก็พร้อมสนับสนุน ดังจะเห็นได้จากการแนะนำรถยนต์แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่รองรับน้ำมันได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน หรือแก๊สโซฮอล์ อี10-85 ได้

...จากการเปิดเผยของบิ๊กบอสเบอร์หนึ่งของมิตซูบิชิในประเทศไทย คงพอจะมองเห็นทิศทางและอนาคตของมิตซูบิชได้พอสมควร และจากนี้ไปคงต้องติดตามว่าจะทำได้อย่างที่คาดหวังหรือไม่?
กำลังโหลดความคิดเห็น