xs
xsm
sm
md
lg

มิตซูบิชิเฆี่ยนเสือโต50% ทุ่ม5พันล้านสู้อีโคคาร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ค่าย “มิตซูบิชิ” สวมหัวใจเสือ ฟุ้งขอโตกว่า 50% แม้จะไม่มีผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด มั่นใจรถยนต์หลายรุ่นที่ทยอยเปิดตัวในปีที่ผ่านมา บวกกับกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย จะช่วยผลักดันยอดขายทะลุ 30,000 คันในปีนี้ แถมยิ้มรับเศรษฐกิจฟื้นตัว และเปิดเสรีรถยนต์ในอาเซียน ยอดคำสั่งซื้อจากอินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์ และหลายประเทศทั่วโลกเพิ่มเพียบ ส่วนโครงการ “อีโคคาร์” ที่ส่ออาการลังเลมาตลอด แม้จะขอรับส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว ล่าสุดประกาศท่าทีชัดขอเดินหน้าลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท ภายในระเวลา 2 ปี ขึ้นไลน์ผลิตในไทย พร้อมเตรียมวางพื้นฐานให้เข็งแกร่ง รองรับการเปิดตัวสู่ตลาดในปี 2555

ในปี 2553 เป็นปีที่ท้าทายอย่างต่อเนื่อง สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย แม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่ ขณะเดียวกันการแข่งขันในตลาดก็รุนแรงมากขึ้น และมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกจากโครงการ “อีโคคาร์” รวมถึงการเปิดเสรีรถยนต์ ภายใต้กรอบอาฟต้า(AFTA) ทำให้แต่ละยี่ห้อคงต้องทำงานอย่างหนัก และ “มิตซูบิชิ” ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายรายใหญ่ของไทย จะมีแนวทางในการดำเนินงานและต่อสู้กับศึกปีเสือโหยอย่างไร? ตลอดจนโครงการอีโคคาร์ที่ประกาศว่า จะสรุปท่าทีชัดเจนภายในต้นปีนี้ จะออกหัวหรือก้อย?…. ทั้งหมด นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จะเป็นผู้ให้คำตอบ

“ภาพรวมปีนี้ค่อนข้างดีกว่าปีที่แล้ว ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น โดยเฉพาะทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในส่วนของปัญหาทางการเมืองมองว่าไม่ใช่ปัจจัยลบรุนแรงนัก ระยะสั้นอาจจะส่งผลบ้าง แต่ในระยะยาว ประชาชนจะต้องเลือกการเมืองที่ถูกต้องอยู่แล้ว เมื่อดูหลายปัจจัยประกอบกันคาดว่า ตลาดรถยนต์ไทยปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 600,000 คัน เติบโตจากปีที่แล้วประมาณ 9% ที่มียอดขาย 548, 871 คัน ”

นายมูราฮาชิเปิดมุมมองสถานการณ์ต่างๆ ในไทย และกล่าวว่า ส่วนของมิตซูบิชิตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ประมาณ 30,000 คัน เติบโตจากปีที่แล้วกว่า 50% ซึ่งเป็นผลมาจากการทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ สู่ตลาดในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต และแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รวมถึงการแนะนำมิตซูบิชิ แลนเซอร์ เครื่องยนต์รองรับพลังงานซีเอ็นจี โดยผู้บริโภคให้การตอบรับและสั่งจองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของปิกอัพจะพยายามชูจุดเด่นมากมายให้ผู้บริโภครับทราบมากขึ้น

“เราคงจะจัดรายการส่งเสริมการขาย เพื่อผลักดันให้ได้ 30,000 คัน โดยตั้งเป้ายอดขายปิกอัพเป็นสัดส่วน 40-50% ของทั้งหมด ที่เหลือเป็นเก๋งรุ่นต่างๆ และรถประเภทพีพีวี มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ส่วนรถยนต์ใหม่แนะนำสู่ตลาดปีนี้ไม่มี แต่จะมีรุ่นพิเศษออกมาสร้างสีสันเป็นระยะ”

ต่อเรื่องของตลาดรถยนต์นั่ง หรือเก๋ง ที่มีอัตราการเติบโตมาก โดยเฉพาะเก๋งขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดปิกอัพในไทยลดลง นายมูราฮาชิ .กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “น่าจะเป็นความชัดเจนในการเลือกใช้งานรถยนต์ของผู้บริโภคในไทย แน่นอนเก๋งคงจะต้องขยายตัวมากกว่า เพราะพฤติกรรมของคนที่อยู่ในเมืองจะหันมาใช้เก๋งมากขึ้น แต่ในต่างจังหวัดยังคงมีความต้องการปิกอัพเช่นเดิม เชื่อว่าทั้งสองตลาดจะโตเหมือนกัน”

“ดังนั้นสิ่งสำคัญเราจะต้องพยายามนำเสนอจุดเด่นของรถมิตซูบิชิให้ผู้บริโภคได้รับทราบ และซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ได้มากที่สุด โดยในช่วงปีนี้เป็นต้นไปเราจะต้องสร้างพื้นฐานของมิตซูบิชิให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย เครือข่ายการจำหน่าย และบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของโครงการอีโคคาร์ของมิตซูบิชิในอนาคต”

เมื่อถามว่ามิตซูบิชิเคยประกาศจะตัดสินใจเกี่ยวกับความชัดเจน ในการลงทุนโครงการอีโคคาร์ภายในเดือนมีนาคมปีนี้ แสดงว่าตอนนี้สรุปรายละเอียดได้แล้ว….

“อย่างที่บอกปีนี้เราจะวางพื้นฐานให้แข็งแกร่งเพื่ออนาคต โดยเฉพาะปีที่มิตซูบิชิแนะนำอีโคคาร์สู่ตลาด ซึ่งจะพยายามทำให้ทันภายในปี 2012 หรือปีพ.ศ.2555 ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี เพราะเราต้องพัฒนาและศึกษาใหม่หมด ไม่เหมือนนิสสันที่เขามีผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เพียงแต่นำมาผลิตในไทยเท่านั้น”

“ส่วนการเปิดตัวหลังคู่แข่งคงมีทั้งได้เปรียบและเสียเปรียบ เพราะรัฐบาลให้เงื่อนไขเท่าๆ กัน การที่นิสสันเปิดมาก่อนและตามด้วยฮอนด้า คงจะได้เปรียบในการทำตลาดก่อน แต่เราก็มีเวลาได้ศึกษาและดูการทำตลาดของคู่แข่ง และนำมาแก้ไขพัฒนาตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่า”

จากท่าทีดังกล่าวชัดเจนว่ามิตซูบิชิตัดสินใจเดินหน้าโครงการอีโคคาร์แน่นอนและ คงจะต้องมีการปรับไลน์การผลิต หรือลงทุนใหม่อีกมาก

“ตอนนี้กำลังการผลิตเราใช้เต็มที่ ถ้าจะเอาอีโคคาร์ต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 แสนคัน ทำให้ต้องเพิ่มการลงทุน และเงื่อนไขอีโคคาร์จะต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท และคิดว่าเราต้องลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการทยอยลงทุนภายใน 2 ปี”

“ในส่วนของการเพิ่มกำลังการผลิตรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน ตอนนี้ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการฟื้นตัวของตลาด ซึ่งปีที่ผ่านมาขายในประเทศ 19,600 คัน ส่งออกประมาณ 109,000 คัน คาดว่าปีนี้จะมีการส่งออกเพิ่ม 20-30% หรือประมาณ 140,000 คัน โดยยังคงเป็นตลาดที่เคยส่งออกไปกว่า 140 ประเทศทั่วโลกเช่นเดิม แต่คำสั่งซื้อแต่ละประเทศสูงขึ้น และโดยเฉพาะปีนี้เปิดเสรีรถยนต์ในอาเซียน ทำให้มีคำสั่งซื้อรถยนต์ปาเจโร สปอร์ต ในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์มากขึ้น รวมถึงออสเตรเลียด้วย ทำให้ต้องปรับกำลังการผลิตในปีนี้ประมาณ 10%”

เมื่อถามถึงทิศทางของรถยนต์พลังงานทดแทน ซึ่งกระแสในต่างประเทศเกี่ยวกับรถไฮบริดกำลังมาแรง รวมถึงเมืองไทยที่ยอดขายโตโยต้า คัมรี่ ไฮบริด ประสบความสำเร็จดีมาก นายมูราฮาชิ. ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า… “เรามีความสนใจเช่นกัน และมิตซูบิชิมีรถยนต์ไฟฟ้าอย่างที่ทราบกันดี บริษัทแม่ก็ประกาศว่าในปี 2013 จะมีรถไฮบริด รวมถึงรถ Plug –In ไฮบริด ซึ่งทิศทางมันไปเช่นนั้นอยู่แล้ว”

“สำหรับเมืองไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ณ ช่วงเวลาอันใกล้พลังงานจากพืชเกษตรอย่างเอทนอล ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังสนับสนุนถือว่าเหมาะสม มีต้นทุนที่ต่ำกว่าพลังงานประเภทอื่นๆ และมิตซูบิชิก็พร้อมสนับสนุน ดังจะเห็นได้จากการแนะนำรถยนต์แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่รองรับน้ำมันได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน หรือแก๊สโซฮอล์ อี10-85 ได้”

จากการเปิดเผยของบิ๊กบอสเบอร์หนึ่งของมิตซูบิชิในประเทศไทย คงพอจะมองเห็นทิศทางและอนาคตของมิตซูบิชได้พอสมควร และจากนี้ไปคงต้องติดตามว่าจะทำได้อย่างที่คาดหวังหรือไม่?
กำลังโหลดความคิดเห็น