ปลายปีที่แล้ว บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กระตุ้นความสดใหม่ให้เก๋ง “ทีด้า” ด้วยการไมเนอร์เชนจ์ ทั้งตัวถังแฮทซ์แบ็ก และซีดาน(มีคำว่าลาติโอต่อท้าย) โดยปรับเพิ่มราคาตั้งแต่ 5,000-16,000 บาทแล้วแต่รุ่น ขณะที่ตัวท็อป1.8G แฮทซ์แบ็กที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองขับยังยันราคาเดิม 799,000 บาท
ในรุ่นท็อปนอกจากจะไม่เพิ่มราคา หนำซ้ำยังได้ออปชันที่เปลี่ยนหรือใส่มาให้ใหม่เต็มพิกัด ไล่ตั้งแต่กระจังหน้า กันชนหน้าออกแบบใหม่ ไฟท้ายปรับรายละเอียดในโคม ส่งผลให้รูปลักษณ์รวมๆดูโฉบเฉี่ยวกว่ารุ่นเดิม ส่วนภายในพยายามทำให้สปอร์ตด้วยการใช้แถบเงินแต้มบริเวณคอนโซลกลาง แผงหน้าปัดเรือนไมล์เปลี่ยนมาใช้พื้นสีขาวพร้อมขยายตัวเลขใหญ่เต็มตา ด้านเครื่องเสียงที่แม้จะบรรจุซีดีได้ 1 แผ่นเหมือนเดิม แต่ก็ทันสมัยขึ้นด้วยการอ่านไฟล์ MP3 และเสริมช่องAUX สำหรับต่อพ่วงกับเกดเจ็ด (Gedget) ต่างๆได้
ในส่วนการลองขับจริง นิสสันกำหนดเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาใหญ่ โดยให้ผู้สื่อข่าวรับรถที่โชว์รูมสยามนิสสัน อินเตอร์เทรด ดีลเลอร์ใหญ่ย่านถนนเกษตรตัดใหม่ และพลันที่ผู้เขียนได้กุญแจอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็นออปชันอำนวยความสะดวกที่ดีมากๆ เพราะเพียงพกไว้ในกระเป๋า(กางเกง) ก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีกแล้ว ทั้งการเข้าออก ล๊อกรถ บิดสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งถ้าใครมีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวันน่าจะติดออกติดใจไม่น้อย
จากนั้นเมื่อเข้าไปนั่งตำแหน่งผู้ขับ พร้อมเพ่งพิจในห้องโดยสารรวมๆถือว่าวัสดุและการประกอบทำได้เนี้ยบ ดูสบายตาแต่ยังติดใจตรงคอนโซลกลางที่บรรจุเครื่องเล่นเพลง และปุ่มปรับอุณหภูมิเป็นบล็อกยื่นใหญ่ออกมา ดูเกะกะติดขาไปนิด ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยชอบการปรับระดับเบาะนั่ง และตัวเบาะที่ใหญ่ดูเทอะทะ ที่สำคัญไม่รองรับสรีระผู้ขับ หรือผู้โดยสารตอนหน้าเท่าใดนัก ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเคยติตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกแล้ว
อย่างไรก็ตามบางโอกาสผู้เขียนได้ลองไปประจำที่เบาะหลัง ก็ถือว่านั่งสบาย เฮดรูม-เลครูม เหลือพอประมาณ ที่สำคัญปรับเลื่อนหน้าถอยหลัง และสามารถพับแบบ60:40เพิ่มความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสำภาระได้เป็นอย่างดี
กลับมาที่เรื่องสมรรถนะการขับขี่ หลังออกจากโชว์รูมแล้วลอดอุโมงค์ ตรงเข้าถนนวิภาวดีรังสิต จากนั้นผู้เขียนเลือกที่จะวิ่งข้างล่าง ไม่ยอมขึ้นทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะการปรับราคาขึ้นมหาโหด แต่มีความจำเป็นที่ต้องไปรับเพื่อนร่วมทริปอีกหนึ่งท่านบริเวณ ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต
การวิ่งข้างล่างถือเป็นผลดีที่ทำให้ผู้เขียนได้รับรู้ถึง ความคล่องแคล่วที่ถือเป็นจุดเด่นรถคันนี้ เพราะการจราจรในช่วงสายๆ ถึงแม้จะเป็นขาออกแต่ปริมาณรถก็มากพอสมควรโดยเฉพาะรถใหญ่ ซึ่งทีด้ามุดซ้ายป่ายขวาเปลี่ยนเลนทำได้คล่องแคล่ว ด้านเครื่องยนต์ MR18DE บล็อกอลูมิเนียมขนาด 1.8 ลิตร 126 แรงม้า พร้อมวาล์วไอดีแปรผัน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อาจจะไม่หุนหันพลันแล่นเท่า 1.8 ของซีวิค แต่ก็ไม่ถือเป็นข้อด้อยแต่อย่างใด
การไล่ความเร็วไปแต่ละเกียร์ทำได้ไหลลื่น หรือถ้าต้องการเรียกความเร็วบี้คันเร่งคิกดาวน์สักนิดก็พุ่งทะยานตามใจ มุดซ้ายป่ายขวาหรือเร่งแซงช่วงการจราหนาแน่นทำได้สบายๆ ส่วนความเร็วปลายมีมาให้ไม่ได้ขาด บางช่วงถนนโล่งๆลองเหยียบไปถึง160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกว่ารถยังไหลได้เหลือๆ
ด้านพวงมาลัยแบบไฟฟ้าถ้าขับช่วงรถติด หรือใช้ความเร็วต่ำถือว่าน้ำหนักพอดิบพอดี แต่ถ้าขยับความเร็วขึ้นไปแถวๆ 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะรู้สึกว่าเบาไปนิด ส่วนช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานแข็งพร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งในรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้นิสสันได้ปรับโช้คให้นุ่มขึ้น เพราะได้รับเสียงบ่นมาเยอะว่ารุ่นเดิมออกแนวกระด้างไปนิด
โดยส่วนตัวผู้เขียนหลังได้ลองทั้งลักษณะคนขับและคนนั่ง ยอมรับว่าช่วงล่างปรับให้ลงตัวกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่ได้นุ่มนิ่มระดับเทพอะไร เพราะการลองนั่งตำแหน่งผู้โดยสารตอนหลังยังรับรู้ถึงแรงสะท้อนจากพื้นถนนอยู่บ้าง
ส่วนความรู้สึกจากการเป็นผู้ควบคุม ต้องบอกว่ายังไม่ค่อยประทับใจกับช่วงล่างนัก ยิ่งความเร็วสูงๆคงต้องกำพวงมาลัย(ที่เบามากๆ)แน่นหน่อย ซึ่งใจจริงอยากให้รถเฟิร์มกว่านี้อีกสักนิด และอย่าลืมว่ายางขนาด 185/65 R15 น่าจะมีผลเช่นกัน
ด้านระบบความปลอดภัยในรุ่น 1.8G นั้นนิสสันจัดมาให้ครบ ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรง เบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA ไฟเบรกดวงที่สามใช้หลอดแอลอีดี ซึ่งถ้ามองที่ออปชันพวกนี้กับราคารถไม่ถึง 8 แสน ถือว่าคุ้มสุดๆ เพราะในเก๋งคอมแพกต์คู่แข่งคุณต้องจ่ายมากกว่านี้ถึงจะได้ความอุ่นใจต่างๆที่กล่าวมา
รวบรัดตัดความ...ส่วนตัวคงขอบายรุ่นลาติโอ แต่ถ้ารุ่นแฮทซ์แบ็กนั้นถือว่าพอไหว เพราะยังมีความโดดเด่นด้วยรูปลักษ์พร้อมความอเนกประสงค์ แต่ถ้าเรื่องการขับขี่ ถ้านิสสันยังย้ำว่านี่คือเก๋งคอมแพกต์ ผู้เขียนก็ต้องย้ำว่าสมรรถนะรวมๆทั้งช่วงล่าง อัตราเร่ง การควบคุม ยังสู้คู่แข่งในระดับเครื่องยนต์เดียวกันเดียวกันไม่ได้ ส่วนในรุ่นท็อปที่ไม่ได้ปรับราคา แต่ยังได้ออปชันรวมถึงระบบความปลอดภัยที่ใส่มาให้เต็มพิกัดถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป
ในรุ่นท็อปนอกจากจะไม่เพิ่มราคา หนำซ้ำยังได้ออปชันที่เปลี่ยนหรือใส่มาให้ใหม่เต็มพิกัด ไล่ตั้งแต่กระจังหน้า กันชนหน้าออกแบบใหม่ ไฟท้ายปรับรายละเอียดในโคม ส่งผลให้รูปลักษณ์รวมๆดูโฉบเฉี่ยวกว่ารุ่นเดิม ส่วนภายในพยายามทำให้สปอร์ตด้วยการใช้แถบเงินแต้มบริเวณคอนโซลกลาง แผงหน้าปัดเรือนไมล์เปลี่ยนมาใช้พื้นสีขาวพร้อมขยายตัวเลขใหญ่เต็มตา ด้านเครื่องเสียงที่แม้จะบรรจุซีดีได้ 1 แผ่นเหมือนเดิม แต่ก็ทันสมัยขึ้นด้วยการอ่านไฟล์ MP3 และเสริมช่องAUX สำหรับต่อพ่วงกับเกดเจ็ด (Gedget) ต่างๆได้
ในส่วนการลองขับจริง นิสสันกำหนดเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาใหญ่ โดยให้ผู้สื่อข่าวรับรถที่โชว์รูมสยามนิสสัน อินเตอร์เทรด ดีลเลอร์ใหญ่ย่านถนนเกษตรตัดใหม่ และพลันที่ผู้เขียนได้กุญแจอัจฉริยะ ซึ่งถือเป็นออปชันอำนวยความสะดวกที่ดีมากๆ เพราะเพียงพกไว้ในกระเป๋า(กางเกง) ก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีกแล้ว ทั้งการเข้าออก ล๊อกรถ บิดสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งถ้าใครมีโอกาสได้ใช้ในชีวิตประจำวันน่าจะติดออกติดใจไม่น้อย
จากนั้นเมื่อเข้าไปนั่งตำแหน่งผู้ขับ พร้อมเพ่งพิจในห้องโดยสารรวมๆถือว่าวัสดุและการประกอบทำได้เนี้ยบ ดูสบายตาแต่ยังติดใจตรงคอนโซลกลางที่บรรจุเครื่องเล่นเพลง และปุ่มปรับอุณหภูมิเป็นบล็อกยื่นใหญ่ออกมา ดูเกะกะติดขาไปนิด ขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยชอบการปรับระดับเบาะนั่ง และตัวเบาะที่ใหญ่ดูเทอะทะ ที่สำคัญไม่รองรับสรีระผู้ขับ หรือผู้โดยสารตอนหน้าเท่าใดนัก ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเคยติตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกแล้ว
อย่างไรก็ตามบางโอกาสผู้เขียนได้ลองไปประจำที่เบาะหลัง ก็ถือว่านั่งสบาย เฮดรูม-เลครูม เหลือพอประมาณ ที่สำคัญปรับเลื่อนหน้าถอยหลัง และสามารถพับแบบ60:40เพิ่มความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสำภาระได้เป็นอย่างดี
กลับมาที่เรื่องสมรรถนะการขับขี่ หลังออกจากโชว์รูมแล้วลอดอุโมงค์ ตรงเข้าถนนวิภาวดีรังสิต จากนั้นผู้เขียนเลือกที่จะวิ่งข้างล่าง ไม่ยอมขึ้นทางยกระดับดอนเมืองโทลเวย์ ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะการปรับราคาขึ้นมหาโหด แต่มีความจำเป็นที่ต้องไปรับเพื่อนร่วมทริปอีกหนึ่งท่านบริเวณ ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต
การวิ่งข้างล่างถือเป็นผลดีที่ทำให้ผู้เขียนได้รับรู้ถึง ความคล่องแคล่วที่ถือเป็นจุดเด่นรถคันนี้ เพราะการจราจรในช่วงสายๆ ถึงแม้จะเป็นขาออกแต่ปริมาณรถก็มากพอสมควรโดยเฉพาะรถใหญ่ ซึ่งทีด้ามุดซ้ายป่ายขวาเปลี่ยนเลนทำได้คล่องแคล่ว ด้านเครื่องยนต์ MR18DE บล็อกอลูมิเนียมขนาด 1.8 ลิตร 126 แรงม้า พร้อมวาล์วไอดีแปรผัน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด อาจจะไม่หุนหันพลันแล่นเท่า 1.8 ของซีวิค แต่ก็ไม่ถือเป็นข้อด้อยแต่อย่างใด
การไล่ความเร็วไปแต่ละเกียร์ทำได้ไหลลื่น หรือถ้าต้องการเรียกความเร็วบี้คันเร่งคิกดาวน์สักนิดก็พุ่งทะยานตามใจ มุดซ้ายป่ายขวาหรือเร่งแซงช่วงการจราหนาแน่นทำได้สบายๆ ส่วนความเร็วปลายมีมาให้ไม่ได้ขาด บางช่วงถนนโล่งๆลองเหยียบไปถึง160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รู้สึกว่ารถยังไหลได้เหลือๆ
ด้านพวงมาลัยแบบไฟฟ้าถ้าขับช่วงรถติด หรือใช้ความเร็วต่ำถือว่าน้ำหนักพอดิบพอดี แต่ถ้าขยับความเร็วขึ้นไปแถวๆ 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะรู้สึกว่าเบาไปนิด ส่วนช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานแข็งพร้อมเหล็กกันโคลง ซึ่งในรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้นิสสันได้ปรับโช้คให้นุ่มขึ้น เพราะได้รับเสียงบ่นมาเยอะว่ารุ่นเดิมออกแนวกระด้างไปนิด
โดยส่วนตัวผู้เขียนหลังได้ลองทั้งลักษณะคนขับและคนนั่ง ยอมรับว่าช่วงล่างปรับให้ลงตัวกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ไม่ได้นุ่มนิ่มระดับเทพอะไร เพราะการลองนั่งตำแหน่งผู้โดยสารตอนหลังยังรับรู้ถึงแรงสะท้อนจากพื้นถนนอยู่บ้าง
ส่วนความรู้สึกจากการเป็นผู้ควบคุม ต้องบอกว่ายังไม่ค่อยประทับใจกับช่วงล่างนัก ยิ่งความเร็วสูงๆคงต้องกำพวงมาลัย(ที่เบามากๆ)แน่นหน่อย ซึ่งใจจริงอยากให้รถเฟิร์มกว่านี้อีกสักนิด และอย่าลืมว่ายางขนาด 185/65 R15 น่าจะมีผลเช่นกัน
ด้านระบบความปลอดภัยในรุ่น 1.8G นั้นนิสสันจัดมาให้ครบ ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรง เบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA ไฟเบรกดวงที่สามใช้หลอดแอลอีดี ซึ่งถ้ามองที่ออปชันพวกนี้กับราคารถไม่ถึง 8 แสน ถือว่าคุ้มสุดๆ เพราะในเก๋งคอมแพกต์คู่แข่งคุณต้องจ่ายมากกว่านี้ถึงจะได้ความอุ่นใจต่างๆที่กล่าวมา
รวบรัดตัดความ...ส่วนตัวคงขอบายรุ่นลาติโอ แต่ถ้ารุ่นแฮทซ์แบ็กนั้นถือว่าพอไหว เพราะยังมีความโดดเด่นด้วยรูปลักษ์พร้อมความอเนกประสงค์ แต่ถ้าเรื่องการขับขี่ ถ้านิสสันยังย้ำว่านี่คือเก๋งคอมแพกต์ ผู้เขียนก็ต้องย้ำว่าสมรรถนะรวมๆทั้งช่วงล่าง อัตราเร่ง การควบคุม ยังสู้คู่แข่งในระดับเครื่องยนต์เดียวกันเดียวกันไม่ได้ ส่วนในรุ่นท็อปที่ไม่ได้ปรับราคา แต่ยังได้ออปชันรวมถึงระบบความปลอดภัยที่ใส่มาให้เต็มพิกัดถือว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป