xs
xsm
sm
md
lg

บุกดีทรอยต์ ยล “โฟกัส ใหม่”ตัวเป็นๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหลืออีกเพียงไม่กี่เดือน “ฟอร์ด เฟียสต้า” เก๋งซับคอมแพ็กต์คันเก่ง ที่มียอดขายถล่มทลายทั่วโลก จะเปิดตัวสู่ตลาดไทย แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้นมีความเคลื่อนไหวที่สำคัญล่าสุดจากฟอร์ด เมื่อได้เผยโฉมใหม่ของ “ฟอร์ด โฟกัส” คอมแพ็กต์คาร์แห่งความหวังสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก และย่อมส่งผลถึงเมืองไทย เพราะในอนาคตจะถูกนำเข้ามาทำตลาดแทนรุ่นปัจจุบันอย่างแน่นอน

ฟอร์ด โฟกัส โฉมใหม่ เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานนอร์ธอเมริกา อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้ โชว์ 2010 หรือที่รู้จักกันดีในชื่องาน “ดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์” โดยรอบสาธารณชนทั่วไปจัดแสดงระหว่างวันที่ 13- 24 มกราคมนี้ ณ เมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา และเนื่องด้วยโฟกัสโฉมใหม่ที่เป็นโมเดลระดับโลกอย่างแท้จริง ภายใต้กลยุทธ์การทำงานแบบ “ONE Ford” ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน และแผนการตลาดเป็นหนึ่งเดียวทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นหนึ่งอย่างมั่นคง

เหตุนี้ฟอร์ด มอเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้เชิญสื่อมวลชนจากแอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเอเชีย ที่รวมถึง “ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง” สื่อมวลชน 1 ใน 2 ฉบับจากไทย เข้าร่วมฟังแนวคิดในการพัฒนาและออกแบบ รวมถึงแผนงานการทำตลาด พร้อมกับยลโฉมของ ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ทั้งแบบซีดาน และแฮ็ทช์แบ็ก 5 ประตู ที่ฐานบัญชาการใหญ่เมืองเดียร์บอร์น สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเปิดตัวในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2010 อย่างเป็นทางการ

โฟกัสโฉมใหม่เป็นจุดเริ่มต้นและความหวังที่สำคัญของฟอร์ด เพราะเป็นคอมแพ็กต์คาร์ หรือกลุ่มซี-เซกเม้นท์ ที่ตลาดมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก โดยฟอร์ดตั้งความหวังว่าจะสามารถทำยอดขายทั่วโลกได้มากกว่า 2 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2555

ในส่วนของการผลิตและการออกแบบ ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ เป็นรถยนต์โมเดลที่สองต่อจากรุ่นซี-แม็กซ์ ซึ่งเปิดตัวในงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 และวางแผนจะทำตลาดในปี 2554 ที่ใช้โครงสร้างตัวถัง หรือแพลตฟอร์มเดียวกันกับรถรุ่นอื่นๆ ในอนาคตร่วมกันมากถึง 10 รุ่น จากปัจจุบันที่ต้องใช้ 3 แพลตฟอร์ม

ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยทีมงานของฟอร์ดในยุโรป ที่มีความชำนาญรถยนต์ขนาดเล็กและกลาง ภายใต้แนวคิดการออกแบบ “เคเนอติก” ที่แสดงถึงพลังแห่งการเคลื่อนไหว ให้ความรู้สึกราวกับรถกำลังเคลื่อนไหวที่แม้ในขณะหยุดนิ่ง ดังจะเห็นได้สายสายด้านหน้า ด้านหลัง และโดยเฉพาะด้านข้างที่มีเส้นพุ่งไปเหมือนลูกศร

ขณะที่การออกแบบภายในห้องโดยสาร เมื่อเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ คอนโซลหน้าและกลางจะโอบล้อมเสมือนนั่งอยู่ในห้องนักบินขับไล่ และสามารถใช้งานอุปกรณ์ควบคุมที่สำคัญทั้งหมดของรถอย่างง่ายดาย รวมทั้งมองเห็นหน้าจอแสดงผลต่างๆ อย่างชัดเจน

ไม่เพียงเท่านั้นฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ยังอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ล้ำสมัย กับฟังก์ชั่น “มายฟอร์ด” (MyFord) ที่ใช้คำสั่งเสียงควบคู่กับปุ่มควบคุมแบบ 5 ทิศทาง คล้ายกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือเครื่องเล่นเอ็มพี 3 ทั่วไป ผู้ขับขี่จึงมีความคุ้นเคยไม่ยุ่งยากในการควบคุม ทำให้การสั่งการหรือเชื่อมต่อเป็นไปอย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับรถ อุปกรณ์เพื่อความบันเทิง หรือเชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PDA) ผ่านบลูทูธ โดยระบบปฏิบัติการซิงก์(SYNC) จากไมโครซอร์ฟ

สำหรับมายฟอร์ดรุ่นพื้นฐาน การแสดงผลจะทำงานผ่านหน้าจอแอลซีดีแบบสีขนาด 4.2 นิ้ว จำนวน 2 หน้าจอ จุดแรกติดอยู่ตรงกลางแผงหน้าปัดด้านหน้าคนขับ และอีกหน้าจอติดตั้งอยู่ด้านบนสุดของแผงควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ตรงกลางคอนโซล ส่วนมายฟอร์ดรุ่นที่สูงขึ้น จะแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 4.2 นิ้ว บริเวณแผงหน้าปัด และมีหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 8 แสดงผลบริเวณแผงควบคุมอุปกรณ์

ในส่วนของขุมพลัง ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ได้ใช้เครื่องยนต์อีโคบูสต์อันภาคภูมิใจของฟอร์ด ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ลดมลพิษ ประหยัดน้ำมัน แต่ช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ที่แรงขึ้น โดยปัจจุบันได้เริ่มนำมาติดตั้งในรถยนต์ระดับพรีเมียมยี่ห้อลินคอน และฟอร์ด ทอรัส โดยจะเริ่มทยอยปรับมาสู่รถรุ่นอื่นๆ เช่นคอมแพ็กต์คาร์ฟอร์ด โฟกัส ที่เปิดตัวในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ วางเครื่องยนต์เบนซินใหม่ 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ไดเร็คอินเจ็กชั่น (DI) และระบบแปรผันแคมชาร์ฟแบบอิสระคู่ หรือTwin Independent Variable Camshaft Timing (Ti-VCT) ให้กำลัง 155 แรงม้า และแรงบิดที่ 197 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ดูอัลคลัชต์

นอกจากนี้เครื่องยนต์ของฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ที่จะทำตลาดยังมีเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร และตัวเลือกอื่นๆ อาทิ เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ดูราทอร์ก ทีดีซีไอ ที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยจะช่วยให้โฟกัสใหม่มีสมรรถนะที่ดีขึ้น และสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันลงได้ประมาณ 10-20%

ทั้งนี้ฟอร์ด โฟกัส ใหม่ ในเบื้องต้นจะผลิตจากฐานหลักใหญ่ๆ คือ เยอรมนี สเปน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และจีน โดยจะผลิตเกือบพร้อมกันในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือในช่วงปลายปี 2553 และจะเริ่มขายช่วงต้นปี 2554 และจากนั้นในปี 2555 จะเปิดตัวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(จีน) และแอฟริกาใต้ ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะจำหน่ายหลังจากจีนเปิดตัวไม่นาน








กำลังโหลดความคิดเห็น