แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกจะยังอยู่ในช่วงขาลงซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากปี 2008 และมีผลกระทบต่อตลาดรถยนต์บ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าผลกระทบจากเรื่องนี้จะโดนเข้าเต็มๆ ในแง่ของตัวเลขยอดขายมากกว่า แต่ทว่าในด้านการเปิดตัวผลผลิตใหม่ๆ ออกสู่ตลาด หลายบริษัทยังเดินหน้าตามแผนการเดิมที่วางเอาไว้ และปี 2009 ถือเป็นอีกปีที่มีรถยนต์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจเปิดตัวออกมาสู่ตลาดหลายต่อหลายรุ่น
และนี่คือ 10 รถยนต์ใหม่ในสายการผลิตซึ่งมีความน่าสนใจและถูกเปิดตัว (หมายถึงเปิดผ้าคลุมในงานมอเตอร์โชว์ที่จัดขึ้นในปี 2009 หรือมีการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่แค่ร่อนภาพถ่ายออกมาทางอินเตอร์เนตแล้วบอกว่าจะเปิดตัวในงานนั้นงานนี้ของปี 2010) ออกสู่ตลาดโลกในช่วงปี 2009 ซึ่งแน่นอนว่ามีหลายรุ่นที่มีขายในเมืองไทยแล้ว ส่วนบางรุ่นอาจจะต้องรอกันอีกสักระยะกว่าจะมีขายโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเมืองไทย
1.Rolls-Royce Ghost
แม้ดูจะเป็นรถยนต์ที่เกินเอื้อม แต่ในเรื่องของการพลิกแนวคิดการทำตลาดของโรลส์-รอยซ์ส่งผลทำให้ Baby RR หรือที่ใช้ชื่อ Ghost ในการทำตลาดเป็นรถยนต์ที่น่าสนใจ ตัวรถถูกประกาศว่าจะขึ้นไลน์ผลิตในงานออโต้ เซี่ยงไฮ้เดือนเมษายนที่ผ่านมา หรือเพียงแค่ 1 เดือนหลังการเปิดตัวเวอร์ชันต้นแบบในชื่อ 200EX ซึ่งเผยโฉมในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ส่วนคันขายจริงเผยโฉมในแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 เดือนกันยายนที่ผ่านมา
ความน่าสนใจคือการที่โรลส์-รอยซ์พยายามปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดลงสู่ตลาดที่ต่ำกว่าที่ตัวเองทำอยู่ ด้วยการส่งทางเลือกออกมาแทรกกลางระหว่างรุ่นท็อปของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 กับโรลส์-รอยซ์ แฟนธอม ซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงในการทำตลาดของโกสต์อยู่ที่การประชันกับรถยนต์รุ่น Mulsanne ของเบนท์ลีย์ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
โกสต์แชร์พื้นฐานร่วมกับซีรีส์ 7 รุ่นปัจจุบัน หรือ F01/02 ถึง 20% ซึ่งก็รวมถีงเครื่องยนต์วี12 6,600 ซีซีเทอร์โบ 571 แรงม้า และเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF ส่วนราคาในการทำตลาดอยู่ที่ 255,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 8.9 ล้านบาท และจะเริ่มขายต้นปี 2010
2.Porsche Panamera
พอร์ชกับตลาด 4 ประตูในที่สุดก็กลายเป็นจริงหลังจากที่เคยมีการทดลองผลิตเวอร์ช้นต้นแบบออกมาในช่วงปี 1988 โดยข่าวการผลิตพานาเมอรามีให้ติดตามกันตั้งแต่ปลายปี 2008 แต่พอร์ชเพิ่งจะนำออกมาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในงานโชว์ที่เซี่ยงไฮ้ เดือนเมษายน 2009
ตัวรถใช้รหัส 970 เน้นความสปอร์ตด้วยเส้นสายที่ดูโฉบเฉี่ยว และมาในแบบเครื่องยนต์วางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง หรือ 4 ล้อ โดยมีให้เลือก 3 รุ่น คือ พานาเมอรา เอส, โฟร์เอส ซึ่งใช้เครื่องยนต์วี8 4,800 ซีซี 400 แรงม้า และเทอร์โบ ซึ่งติดตั้งเทอร์โบคู่รีดกำลังออกมาได้ 500 แรงม้า
เมื่อเปรียบเทียบกับคาเยนน์แล้วดูเหมือนว่าเสียงตอบรับจากแฟนๆ ของพอร์ชจะดีกว่าการริเริ่มทำตลาดเอสยูวีที่ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่แฟนพอร์ชหัวอนุรักษ์นิยมจะยอมรับได้ และพานาเมอราก็ใช้เวลาเพียงแค่ 3 เดือนนับจากการเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฉลองยอดการผลิตครบ 10,000 คัน
3.Mercedes-Benz SLS AMG
SLR McLaren ปิดฉากตำนานซูเปอร์เบนซ์ไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และน่าจะเรียกได้ว่าเป็นจุดจบในด้านความสัมพันธ์ระหว่างเมอร์เซเดส-เบนซ์กับแม็คลาเรนด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้น ค่ายแม็คลาเรนก็เปิดตัวรถสปอร์ตแบรนด์ตัวเองออกมา และในปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เดมเลอร์ เอจี บริษัทแม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ประกาศเทขายหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ 40% ในแม็คลาเรนก็ถูกขายกลับคืนไป พร้อมกับเทคโอเวอร์ทีมบรอว์น จีพีเป็นทีมแข่งโรงงานของตัวเองเพื่อลงแข่ง F1 ในปี 2010 ภายใต้ชื่อ เมอร์เซเดส จีพี
ที่เล่ามาข้างบนไม่ได้เกี่ยวกับการเปิดตัวของ SLS AMG แต่เป็นบริบทที่กำลังสื่อให้เห็นว่าต่อไป การเดินหน้าลุยตลาดซูเปอร์คาร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์จะไม่มีแม็คลาเรนเป็นแบ็คอัพเหมือนกับโปรเจ็ตก์ SLR อีกต่อไป ซึ่ง SLS AMG ถูกเปิดตัวออกมาในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2009 ถือเป็นผลงานการพัฒนาของทีมงานเมอร์เซเดส-เบนซ์และ AMG ล้วนๆ โดยเป็นการคืนขีพ Gullwing กลับสู่ตลาด เพราะนำสไตล์การออกแบบของประตูที่เปิดขึ้นแบบปีกนกของ 300SL อันโด่งดังในทศวรรษที่ 1950 กลับมาอีกครั้ง
รุ่นที่จำหน่ายเป็นตัวถังคูเป้มากับเครื่องยนต์วี8 6,200 ซีซีของ AMG ที่มีกำลังขับเคลื่อน 571 แรงม้า ส่วนในปี 2015 ค่ายดาว 3 แฉกมีแผนผลิตเวอร์ชันพลังไฟฟ้าของ SLS AMG ออกมาขายด้วย และจะเริ่มการทดสอบในปีหน้า เช่นเดียวกับรุ่นโรดสเตอร์ หรือเปิดประทุนที่จะผลิตออกมาในปี 2010 ส่วนราคาของ SLS AMG อยู่ที่ 177,310 ยูโร หรือ 8.8 ล้านบาท และจะเริ่มส่งมอบในยุโรปกลางปี 2010
4.Toyota Prius
เจนเนอเรชันที่ 3 ของพริอุสเปิดตัวออกมารับกระแสความต้องการรถยนต์ประหยัดน้ำมันกันตั้งแต่งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2009 พร้อมกับคู่แข่งอย่างฮอนด้า อินไซต์ ก่อนที่จะทยอยเปิดตัวตามมอเตอร์โชว์รายการต่างๆ และเริ่มขายกันในช่วงกลางปี
ในรุ่นใหม่นี้มีทั้งเวอร์ชันธรรมดาที่ใช้เครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ที่ขยายความจุของขุมพลังเบนซินเป็น 1,800 ซีซี 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร มีกำลังสูงสุด 80 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.1 กก.-ม. แต่เมื่อรวมการทำงานของทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ขุมพลังไฮบริดรุ่นนี้สามารถตอบสนองกำลังสูงสุดได้ 134 แรงม้า และอีกรุ่นคือ PHEV แบบไฮบริด ปลั๊กอิน เสียบชาร์จกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งโตโยต้ากำลังทดสอบอยู่ และจะเริ่มขายในปีหน้า
จากความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการปลดปล่อยไอเสียออกสู่อากาศตามมาตรฐาน SULEV หรือ Super Ultra Low Emission Vehicle และมีค่าความประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 20.3 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับแบบผสมจากการทดสอบของ EPA ซึ่งตัวเลขดีกว่า 2 เจนเนอเรชันที่ผ่านมา ทำให้พริอุสใหม่ได้รับเลือกให้คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมของญี่ปุ่น หรือ JCOTY ซึ่งประกาศผลในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
5.BMW 5 Series GT
ถือเป็นสีสันและความแปลกใหม่เมื่อบีเอ็มดับเบิลยูทำเซอร์ไพรส์ เปิดตัวซีรีส์ 5 เจนเนอเรชันใหม่ออกมาโดยเลือกตัวถังใหม่อย่าง GT หรือ Gran Turismo ในแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูออกมาเป็นรุ่นแรกของสายพันธุ์ แทนที่จะเป็นซีดาน 4 ประตูเหมือนกับที่ผ่านๆ มา
GT จะมากับรหัสตัวถัง F07 พร้อมกับการอัพเกรดตลาดด้วยการแทรกกลางในเรื่องของราคาและสเปกระหว่างซีรีส์ 5 ตัวถังซีดานและสเตชันแวกอน กับซีรีส์ 7 ในช่วงแรกมีให้เลือก 3 แบบสำหรับการขับเคลื่อนแบ่งเป็นเบนซิน 2 รุ่น คือ 535i Gran Turismo แบบ 6 สูบเรียง ทวินแคม 3,000 ซีซี เทอร์โบ 306 แรงม้า และ 550i Gran Turismo แบบวี8 ทวินแคม 32 วาล์ว 4,400 ซีซี เทอร์โบ 407 แรงม้า และ 530d Gran Turismo แบบ 6 สูบเรียง 3,000 ซีซี 245 แรงม้า ทุกรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังพร้อมส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะที่ยกมาจาก 760Li
แน่นอนว่าในช่วงแรกที่บีเอ็มดับเบิลยูปล่อยข่าวนี้ออกมา หลายคนกังวลว่าซีรีส์ 5 อาจจะไม่มีซีดานออกมาขาย แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ความกังวลใจ เพราะในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซีรีส์ 5 ใหม่รหัส F10 ก็ถูกเปิดตัวออกมาพร้อมกับหน้าตาซึ่งถอดแบบมาจากรุ่น GT ยกตัวถังด้านท้ายที่ถูกออกแบบให้แตกต่างออกไป
6.Nissan LEAF
2 สิงหาคม คือ อีกวันสำคัญของอุตสาหกรรมรถยนต์ เมื่อนิสสันเผยโฉมรถยนต์พลังไฟฟ้ายุคใหม่ที่เป็น Affordable Car ซึ่งมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปและสามารถเป็นเจ้าของได้ ตามชื่อรุ่น Leading, Environmentally Friendly, Affordable, Family Car ซึ่งแปลตรงตัวแล้วก็หมายถึงรถยนต์สำหรับครอบครัวเพื่อสิ่งแวดล้อมในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้
LEAF ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC ขนาด 80 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถสร้างแรงบิดได้ 28.5 กก.-ม. และแบตเตอรี่ขนาด 90 KW จะมีโหมดควิกชาร์จให้เลือกด้วยเวลาเพียง 30 นาทีในการชาร์จกระแสไฟฟ้าจนอยู่ในระดับ 80% และเมื่อชาร์จจนเต็ม จะขับได้ระยะทางมากกว่า 160 กิโลเมตร
โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ กลยุทธ์การกระตุ้นยอดขาย ซึ่งนิสสันเผยว่าจะมีออพชั่นให้ลูกค้าเลือกซื้อภายใต้เงื่อนไขของการเช่าใช้แบตเตอรี่ ซึ่งจะทำให้มีราคาถูกกว่าซื้อเหมาทั้งคัน และทำให้มีราคาใกล้เคียงกับรถยนต์ระดับเดียวกันที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน เพราะจริงอยู่ที่ราคาของแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออนในปัจจุบันจะถูกลงแต่ก็ยังถือว่าแพงอยู่ อีกทั้งแนวคิดนี้เป็นการกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเอื้อต่อการเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจอย่างมาก
7.Mazda 2
กลายเป็นรถยนต์ที่อยู่ในกระแสความสนใจของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะมีการเปิดตัวซึ่งมีการตั้งคำถามไปต่างๆ นานาว่า มาสด้า 2 ที่ขายบ้านเราจะมีหน้าตาอย่างไร เพราะจากการที่เปิดตัวในบ้านเราช้ากว่าตลาดโลกร่วม 2 ปี ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะยังเป็นรุ่นเดิมหรือรุ่นปรับโฉม-ไมเนอร์เชนจ์
จนกระทั่งมีภาพของมาสด้า 2 คันจริงออกจากไลน์ผลิตในบ้านเราถึงทราบว่าจะเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งมีการปรับปรุงหน้าตาใหม่เพื่อความสดใส โดยมาสด้านำ 2 ไมเนอร์เชนจ์เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นก่อนพร้อมกับชื่อเดมิโอในการทำตลาด ส่วนบ้านเราเปิดตัวหลังจากนั้นตามมาประมาณ 1 เดือน จากนั้นจึงค่อยนำไปเปิดตัวในสหรับอเมริกาที่งานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
8.Lexus LFA
ทิ้งระยะนานรวม 4 ปีนับจากการเปิดตัวเวอร์ชันต้นแบบที่งานโชว์ในดีทรอยต์เมื่อปี 2005 ตอนนี้เล็กซัส แบรนด์ระดับหรูของโตโยต้า เดินหน้าลุยตลาดซูเปอร์คาร์ครั้งใหม่ด้วย LFA ความสปอร์ตที่เพียบพร้อมด้วยความหรูและความแรง
LFA ถูกเปิดตัวออกมาในโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2009 บนตัวถังสปอร์ตคูเป้ 2 ที่นั่ง และเร้าใจด้วยเครื่องยนต์วี10 รุ่นใหม่ที่พัฒนาร่วมกับยามาฮ่า มีความจุ 4,805 ซีซี พร้อมกำลังสูงสุด 552 แรงม้า ที่ 8,700 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 48.9 กก.-ม. ที่ 6,800 รอบ/นาที หรือคิดออกมาแล้วมีกำลังต่อลิตรอยู่ที่ 115 แรงม้า/ลิตร พร้อมระบบอ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump ทำให้สามารถวางเครื่องยนต์ได้ต่ำลงเพื่อประโยชน์ในเรื่องจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถ
ราคาขายของ LFA อยู่ที่ 368,000 ยูโรหรือ 18.4 ล้านบาท โดยจะมีขายในตลาดทั่วโลก เพียงแต่มีจำนวนจำกัด เพราะผลิตเพียง 500 คันเท่านั้น
9.McLaren MP4-12C
นานเอาเรื่องเหมือนกันที่แม็คลาเรนหายหน้าไปจากตลาดซูเปอร์คาร์ เพราะรุ่นสุดท้ายที่มีขายคือ F1 ที่ผลิตออกมาในปี 1993 และขายจนถึงปี 1998 แต่คราวนี้แม็คลาเรนเดินหน้าเต็มตัว เพราะถึงกับตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อผลิตรถสปอร์ตในชื่อ แม็คลาเรน ออโตโมทิฟที่มีรอน เดนนิส อดีต Team Principle คนเก่งของทีม F1 รับหน้าที่เป็น CEO ของบริษัท
ตัวรถถูกเปิดตัวออกมาในวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา แต่กว่าจะเริ่มขายได้ต้องร้องเพลงรอกันนานๆ หน่อย เพราะเริ่มส่งมอบในปี 2011 โดย MP4-12C จะเป็นสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางที่มีระดับตลาดชนกับพอร์ช 911 และเฟอร์รารี่ 458 Italia ซึ่งในช่วงแรกจะเป็นตัวถังสปอร์ตคูเป้ แต่จะมีรุ่นเปิดประทุนหรือ Roadster ตามออกมา
นอกจากขุมพลังวี8 ทวินแคม 32 วาล์วบล็อกนี้ที่มีความจุเพียง 3,800 ซีซี แต่เมื่อติดตั้งเทคโนโลยีเพิ่มความแรงเข้าไปทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVT และเทอร์โบคู่ ทำให้สามารถเบ่งกล้ามออกมาได้ 600 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุดถึง 61.1 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์ Dual-Clutch แบบ 7 จังหวะสู่การขับเคลื่อนล้อหลัง
สำหรับราคาของ MP4-12C ในอังกฤษจะอยู่ที่ 150,000 ปอนด์ หรือ 8.25 ล้านบาท
10.Honda Insight
จากต้นแบบที่เปิดตัวในงานปารีส มอเตอร์โชว์ 2008 ในที่สุดอินไซต์ก็กลายมาเป็นคันจริงโดยเปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริงที่ดีทรอยต์พร้อมๆ กับโตโยต้า พริอุส โดยถือเป็นการกลับมาสู่ตลาดอีกครั้งหลังจากที่ฮอนด้ายุติบทบาทการทำตลาดรถยนต์ไฮบริดในชื่อนี้มาตั้งแต่ปี 2006
การปัดฝุ่นนำชื่ออินไซต์มาใช้อีกครั้งไม่ได้หมายความว่าฮอนด้าจะเดินตามรอยเดิม แต่ทว่ามีการปรับเปลี่ยนแนวคิดด้วยการทำให้อินไซต์กลายเป็นรถยนต์ไฮบริดที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายด้วยการตั้งราคาขายในญี่ปุ่นเพียง 1.89 ล้านเยน (699,000 บาท) แทรกกลางระหว่างฟิตหรือแจ๊ซ กับซีวิค และนั่นทำให้อินไซต์ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากกว่ารุ่นแรกที่เปิดตัวขายในระหว่างปี 1999-2006
หน้าที่ของการขับเคลื่อนมาจากขุมพลัง 4 สูบ SOHC i-VTEC ที่มีความจุ 1,300 ซีซีขนาด 88 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลัง 14 แรงม้าในการช่วยขับเคลื่อนส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT ที่ปรับปรุงมาจากระบบที่ใช้อยู่ในซีวิค ไฮบริดรุ่นปัจจุบัน
การพลิกโฉมจากสปอร์ตท้ายลาด 2 ที่นั่งสุดไฮเทคมาเป็นรถยนต์ไฮบริดสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันทำให้อินไซต์ได้รับการจับตามองว่าจะสามารถช่วยยกระดับตัวเลขยอดขายของตลาดรถยนต์ไฮบริดให้เพิ่มขึ้น ซึ่งทางฮอนด้าเองก็ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเอาไว้ถึง 200,000 คัน โดยครึ่งหนึ่งจะอยู่ในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา