ตอนแรกนึกว่าจะเป็นเวอร์ชัน JDM ที่ผลิตเพื่อขายในตลาดญี่ปุ่นหลัก แต่สุดท้ายทางซูบารุก็จัดการนำเวอร์ชัน Spec C ของตัวแรงอิมเพรซา WRX STI ที่เพิ่งเปิดตัวในญี่ปุ่นเมื่อกลางปีนี้มาอัพสเปกและเพิ่มความสปอร์ตอีกระดับเพื่อส่งขายในตลาดสหรัฐอเมริกาภายใต้ชื่อ SE หรือ Special Edition
ตัวรถได้รับการเผยโฉมครั้งแรกในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางซูบารุเผยว่า การปรับปรุงรายละเอียดทั้งหมดมีขึ้นบนพื้นฐานของรุ่น Spec C ซึ่งในญี่ปุ่นมีการผลิตแบบจำกัดเพียง 900 กว่าคันเท่านั้น โดยเน้นไปที่การเพิ่มความหนึบให้กับช่วงล่างด้วยการเพิ่มความหนาของเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กกันโคลงหน้าจากเดิมอีก 1 มิลลิเมตร บวกกับการปรับเซ็ตทั้งค่าสปริงเรตสำหรับด้านหน้าแข็งขึ้นอีก 16% และ 29% สำหรับด้านหลัง รวมถึงการเปลี่ยบุชยางตามจุดต่างๆ เพื่อให้ตัวรถสามารถตอบสนองต่อความหนึบบนทุกเส้นทาง
ในช่วงแรกตัวรถจะผลิตแบบลิมิเต็ดเช่นกัน โดยจะมีเพียง 125 คันเท่านั้นที่ผลิตออกมาและเป็นสีขาวโทน Aspen White ทั้งหมด และได้รับการเสริมความสวยตามสไตล์ Spec C เวอร์ชัน JDM ทั้งล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 245/40R18 จากนั้นเมื่อขายหมด ก็จะปรับให้เป็นเวอร์ชันปกติ โดยมีการผลิตขายพร้อมสีตัวถังอื่น ส่วนล้อแม็กก็จะเป็นขนาด 18 นิ้วแต่เป็นลายอื่น
ในเวอร์ชัน JDM มากับเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีเทอร์โบ แต่สำหรับสเปกเพื่อคนอเมริกัน จะเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,500 ซีซี พร้อมเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ มีกำลังสูงสุด 305 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 40.0 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบ DCCD-Driver Controlled Center Differential ในการปรับการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์สู่เพลาหน้าหลังให้สมดุลกับการใช้งาน ตามด้วยระบบควบคุมการทรงตัว และแทร็กชั่นคอนโทรลที่สามารถเลือกระดับการทำงานได้ 3 แบบ
ซูบารุเผยว่าการส่งมอบสำหรับเวอร์ชัน SE จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้า ส่วนราคายังไม่เปิดเผยออกมาในตอนนี้ว่าแพงเท่ากับ Spec C ที่ขายในญี่ปุ่นหรือไม่ ซึ่งในเวอร์ชันดังกล่าวมีค่าตัว 3.37 ล้านเยน หรือ 1.25 ล้านบาท
ตัวรถได้รับการเผยโฉมครั้งแรกในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2009 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางซูบารุเผยว่า การปรับปรุงรายละเอียดทั้งหมดมีขึ้นบนพื้นฐานของรุ่น Spec C ซึ่งในญี่ปุ่นมีการผลิตแบบจำกัดเพียง 900 กว่าคันเท่านั้น โดยเน้นไปที่การเพิ่มความหนึบให้กับช่วงล่างด้วยการเพิ่มความหนาของเส้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กกันโคลงหน้าจากเดิมอีก 1 มิลลิเมตร บวกกับการปรับเซ็ตทั้งค่าสปริงเรตสำหรับด้านหน้าแข็งขึ้นอีก 16% และ 29% สำหรับด้านหลัง รวมถึงการเปลี่ยบุชยางตามจุดต่างๆ เพื่อให้ตัวรถสามารถตอบสนองต่อความหนึบบนทุกเส้นทาง
ในช่วงแรกตัวรถจะผลิตแบบลิมิเต็ดเช่นกัน โดยจะมีเพียง 125 คันเท่านั้นที่ผลิตออกมาและเป็นสีขาวโทน Aspen White ทั้งหมด และได้รับการเสริมความสวยตามสไตล์ Spec C เวอร์ชัน JDM ทั้งล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 245/40R18 จากนั้นเมื่อขายหมด ก็จะปรับให้เป็นเวอร์ชันปกติ โดยมีการผลิตขายพร้อมสีตัวถังอื่น ส่วนล้อแม็กก็จะเป็นขนาด 18 นิ้วแต่เป็นลายอื่น
ในเวอร์ชัน JDM มากับเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีเทอร์โบ แต่สำหรับสเปกเพื่อคนอเมริกัน จะเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบนอน หรือบ็อกเซอร์ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,500 ซีซี พร้อมเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ มีกำลังสูงสุด 305 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 40.0 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมระบบ DCCD-Driver Controlled Center Differential ในการปรับการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์สู่เพลาหน้าหลังให้สมดุลกับการใช้งาน ตามด้วยระบบควบคุมการทรงตัว และแทร็กชั่นคอนโทรลที่สามารถเลือกระดับการทำงานได้ 3 แบบ
ซูบารุเผยว่าการส่งมอบสำหรับเวอร์ชัน SE จะมีขึ้นในเดือนมีนาคมปีหน้า ส่วนราคายังไม่เปิดเผยออกมาในตอนนี้ว่าแพงเท่ากับ Spec C ที่ขายในญี่ปุ่นหรือไม่ ซึ่งในเวอร์ชันดังกล่าวมีค่าตัว 3.37 ล้านเยน หรือ 1.25 ล้านบาท
