xs
xsm
sm
md
lg

Porsche Boxster Spyder ที่สุดแห่งความเบา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มแฟนของ 911 แล้ว บรรดานักขับสปอร์ตเปิดประทุนสายพันธุ์บ็อกสเตอร์ของค่ายปอร์เชอาจจะน้อยอกน้อยใจ เพราะที่ผ่านมา มีทางเลือกใหม่ๆ ของความแรงและความสวยให้สัมผัสเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นอกจากรุ่นปกติที่วางขายอยู่ในตลาด ไม่มีเวอร์ชันพิเศษหรือตัวแรงหลายแบบหลายสไตล์เหมือนอย่างที่ 911 มี

แต่ในตอนนี้ปัญหานี้กำลังจะหมดไป เมื่อปอร์เชวางแผนเปิดตัวเวอร์ชันสปายเดอร์ของรุ่นบ็อกสเตอร์ ซึ่งเรียกว่าเป็นที่สุดของสายพันธุ์ออกมาในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ ซึ่งมีคิวจัดงานในเดือนธันวาคมปีนี้ ก่อนจะเริ่มทำตลาดทั้งพวงมาลัยซ้ายและขวาในช่วงต้นปี 2010

นับตั้งแต่เจนเนอเรชันแรกเปิดตัวในปี 1996 จนมาถึงรุ่นนี้ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 ปอร์เช่แทบไม่มีทางเลือกใหม่ที่ถือว่าเป็นรุ่นพิเศษที่ได้รับการผลิตบนพื้นฐานของสปอร์ตเปิดประทุนเครื่องยนต์วางกลางรุ่นนี้ออกมาขายเลย จะมีก็เพียง 2 ครั้งในปี 2004 และ 2008 ที่มีการผลิตเป็นลิมิเต็ด เอดิชันออกมาขาย แต่ก็มีจำนวนไม่มากเท่าไร และไม่ได้เน้นความสวยและความเร้าใจในการขับเหมือนกับเวอร์ชันสปายเดอร์รุ่นนี้

สำหรับเวอร์ชันสปายเดอร์ถือเป็นการย้อนยุคกลับไปสู่ความรุ่งเรืองของตำนานตัวแรงเปิดประทุนอย่าง 550 สปายเดอร์ ที่โด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 1950 และตัวรถมีน้ำหนักเบาเพียง 550 กิโลกรัมเท่านั้น ไล่มาจนถึง RS Spyder ตัวแข่งต้นแบบสำหรับการแข่งขันเลอ มังส์ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือป็นแม่แบบรถแข่งทางเรียบมาราธอนของปอร์เชสำหรับยุคปัจจุบัน

ประเด็นหลักที่ถือว่าเป็นจุดที่เน้นสำหรับเวอร์ชันนี้คือ การลดน้ำหนักตัวถัง โดยจับรีดไขมันจนมีตัวเลขอยู่ที่ 1,275 กิโลกรัม และถือเป็นบ็อกสเตอร์ที่มีน้ำหนักเบาสุดเท่าที่เคยมีมาเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นธรรมดาบ็อกสเตอร์ และตัวแรงบ็อกสเตอร์ เอส โดย 80 กิโลกรัมที่หายไปเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นบ็อกสเตอร์ เอส คือ การเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาในการผลิตตัวถังบางจุด ชุดหลังคาอ่อนแบบพับได้ถูกถอดออกไปแทนที่ด้วยหลังคาแบบโครงที่หุ้มด้วยผ้าใบซึ่งสามารถถอดและติดตั้งได้ และตัดอุปกรณ์มาตรฐานที่ไม่จำเป็นออกไป


ขณะที่รูปลักษณ์โดยรวมมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นปกติอย่างสังเกตได้อย่างชัดเจน โดยตัวถังส่วนท้าย ซึ่งมีการออกแบบในส่วนของตัวถังที่แต่เดิมเป็นฝาปิดส่วนเก็บหลังคาอ่อนซึ่งดูแล้วสปอร์ตและดุดันขึ้น โดยมีการอิงรายละเอียดมาจากซูเปอร์คาร์รุ่นดังอย่างคาร์เรรา จีที

เมื่อตอนติดตั้งหลังคาซึ่งเป็นโครงหุ้มด้วยผ้าใบเข้าไป แน่นอนว่าประสิทธิภาพในการกันแดด ลม หรือฝนของชุดหลังคาเหมือนเดิม แต่แนวเส้นของชุดหลังคาผ้าใบเมื่อมองจากทางด้านข้างแล้วจะพบว่ามีความลาดเอียงมากขึ้น เพื่อความสวยสปอร์ต และความเพรียวลม และสอดรับกับตัวรถได้เป็นอย่างดี อีกทั้งตัวรถยังได้รับการปรับแต่งให้มีจุดศูนย์ถ่วง หรือ CG-Centre of Gravity ที่ต่ำลง เช่นเดียวกับระบบช่วงล่างทั้งด้านหน้าและหลังที่ได้รับการปรับแต่งให้มีความหนึบและการทรงตัวที่ดี


งานนี้ไม่ได้ใหม่เฉพาะหน้าตาเท่านั้น แต่เครื่องยนต์สูบนอนหรือบ็อกเซอร์ที่วางอยู่กลางลำยังมีความแรงเพิ่มขึ้น โดยขุมพลังแบบ 6 สูบนอน ทวินแคม 24 วาล์ว 3,400 ซีซี พร้อมกับระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ DFI-Direct Fuel Injection มีกำลังเพิ่มขึ้นจากรุ่นบ็อกสเตอร์ เอสอีก 10 แรงม้าเป็น 320 แรงม้า
และเมื่อจับคู่กับเกียร์แบบทวินคลัตช์ หรือ Porsche-Doppelkupplungsgetriebe (PDK) พร้อมกับชุด Sports Chrono Package ซึ่งมีการติดตั้งระบบอย่าง Lauch Control หรือระบบช่วยในการออกตัว ทำให้ตัวรถมีฝีเท้าในช่วงตีนต้นที่จัดจ้านขึ้น ใช้เวลาเพียง 4.8 วินาทีสำหรับการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 267 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใครๆ มักจะชอบถามกันในยุคนี้ ถือว่าดีไม่น้อย กับตัวเลขเฉลี่ยทั้งในเมืองและนอกเมือง 10.75 กิโลเมตร/ลิตร

การทำตลาดทั่วโลกจะเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ด้วยราคาในอังกฤษ 44,643 ปอนด์ หรือ 2.4 ล้านบาท ใครที่สนใจก็เตรียมเงินกันเอาไว้ได้เลย เพราะความพิเศษอย่างนี้ของสายพันธุ์บ็อกสเตอร์มีให้สัมผัสกันไม่บ่อยครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น