เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี ตลาดรถจักรยานยนต์ยังคึกคักตามคาด โดย 3 ค่ายใหญ่ต่างระดมสรรพกำลัง ทั้ง อาวุธใหม่ กิจกรรมทางการตลาด พร้อมโปรโมชันเด็ดๆมากำนัลลูกค้ากันอย่างเต็มที่ ล่าสุด “ยามาฮ่า” จัดงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เพื่อเผยทิศทางและแคมเปญใหม่ที่จะนำมาใช้ตลอด 3 เดือนที่เหลือของปี(ต.ค.-ธ.ค.2552) โดย ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เป็นผู้ชี้แจง
- ตลาดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดรถจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ตลาดรวมรถจักรยานยนต์ มียอดจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 1,132,639 คัน ลดลง 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (1,323,612 คัน) ส่วนยามาฮ่ามียอดจดทะเบียนรวม 318,360 คัน ลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 334,585 คัน ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยกว่าตลาด จึงส่งผลให้เรามีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก 2.8% เป็น 28.1% ณ ตอนนี้
- ประเมินสถานการณ์ไตรมาสสุดท้ายของปี
สำหรับในไตรมาสสุดท้าย ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความมั่นใจของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้ยามาฮ่าคาดว่าตลาดรวมรถจักรยานยนต์ถึงสิ้นปีนี้จะลดลงประมาณ 12% มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 1,500,000 คัน และในส่วนยามาฮ่าเองจะลดลงเพียง 2% และมียอดขายรวมทั้งปี 430,000 คัน ซึ่งจะทำให้ยามาฮ่ามีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเป็น 28.7%
ทั้งนี้ยามาฮ่าคาดว่าถึงสิ้นปี 2552 ค่ายฮอนด้าจะครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 65.8% แต่ลดลงจากปี 2551 ที่มีสัดส่วนถึง 68.5 ส่วนซูซูกิค่ายอันดับสามจะมีส่วนแบ่ง 4.2% ลดลงจากปี 2551 ที่เคยมี 4.5%
- การแข่งขันในตลาดรถจักรยานยนต์แฟชันคลาสสิค หลังคู่แข่งเปิดตัว สกูปปี้ ไอ และเจลาโต้
ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค แต่ในส่วนของฟีโน่ คงไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะยังทำยอดขายเป็นที่น่าพอใจเฉลี่ย 22,000 – 25,000 คันต่อเดือน หรือสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมามียอดจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ 202,000 คันแล้ว ซึ่งถือเป็นรถจักรยานยนต์รุ่นที่ขายดีสุดในตลาด (ถ้าฮอนด้าแยกยอดขายระหว่าง เวฟ100 กับเวฟ 110i โดยรุ่นแรกปิดยอดขาย 9 เดือนทำได้ 1.4 แสนคัน ส่วนรุ่นหลังทำได้ 1.96 แสนคัน)
“ปัจจุบันฟีโน่มีสัดส่วนขาย 20-30% ของตลาดรถจักรยานยนต์เกียร์ออโต้ทั้งหมด และเชื่อว่าหลังจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มเข้ามา จะทำให้สัดส่วนของรถจักรยานยนต์แฟชันคลาสสิคขยายตัวมากขึ้น ซึ่งก็อาจจะไปกินส่วนของรถประเภทอื่นๆลง แต่ไม่ใช่มาแย่งตลาดของฟีโน่แน่นอน ฉะนั้นไม่ต้องห่วง”
- มีแผนกระตุ้นยอดฟีโน่หรือไม่
ตั้งแต่ฟีโน่เปิดตัวมา 3 ปี เราทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่อเนื่อง ทำให้ตอนนี้มีแฟนพันธุ์แท้ฟีโน่เยอะมาก ซึ่งหลังจากคู่แข่งเปิดตัวรถแบบเดียวกันนี้ กระแสตอบรับ ฟีโน่ก็ไม่ได้ตกลงไป และดังนั้นเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจฟีโน่ เราได้เตรียมแคมเปญพิเศษมอบให้ตลอด 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้
โดยเราจะแยกทำเป็นเดือนละ 1 แคมเปญ อย่างเริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้ เราทุ่มเงิน 25 ล้านบาท ให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของฟีโน่กว่า 600,000 คันทั่วประเทศ นำรถเข้ารับบริการตรวจเช็คสภาพรถทั้งคัน พร้อมรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี !ทั้งค่าแรงและค่าน้ำมันเครื่อง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ณ ยามาฮ่าสแควร์ และร้านผู้จำหน่ายยามาฮ่าทั่วประเทศ ส่วนเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม เรายังเตรียมสิทธิประโยชน์ใหม่ๆเอาไว้ ซึ่งต้องคอยติดตามต่อไป
- ยามาฮ่ากับการเสริมรุ่นหัวฉีด
จริงๆแล้วเรื่องหัวฉีดกับยามาฮ่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ถามกันมาเยอะ ตรงนี้ขอชี้แจงว่า การเสริมรุ่นหัวฉีดคงต้องดูความพร้อมของผู้บริโภคด้วย เพราะกว่า 50% ของรถในตลาดยังซ่อมกับร้านอิสระทั่วไป ไม่ได้เข้าศูนย์บริการซึ่งช่างหลายคนยังกังวลใจ หรือเรียกง่ายๆว่าซ่อมรถหัวฉีดไม่เป็น ขณะเดียวกันยังมีค่าบำรุงรักษาที่แพงกว่าด้วย
“เรามีสปาร์ค 135i (หัวฉีด) กับ 135 ธรรมดา ทุกวันนี้รุ่นธรรมดายังขายดีกว่า ดังนั้นเรื่องหัวฉีดคงต้องแล้วแต่มุมมองของลูกค้า เพราะบางคนมองเรื่องการประหยัดน้ำมัน แต่มีบางคนกังวลเรื่องการดูแลรักษา หรือการดัดแปลงเครื่องยนต์ซึ่งรถหัวฉีดจะทำได้ยากกกว่ารถแบบคาบูเรเตอร์ ”
โดยช่วง 1-2 ปีจากนี้เรายืนยันจะทำตลาดรถจักรยานยนต์รุ่นคาบูเรเตอร์ควบคู่ไปกับการเสริมรุ่นหัวฉีดอย่างต่อเนื่อง พร้อมดูกระแสตอบรับของลูกค้าอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามในปีหน้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่าจะมีการเสริมรุ่นหัวฉีดอย่างน้อยหนึ่งรุ่นแน่นอน แต่คงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ในตอนนี้
- เรื่องมาตรฐานไอเสีย
อยากชี้แจงว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2553 รถจักรยานยนต์ทุกคันต้องผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ6 หรือเทียบเท่า ยูโร3 ของรถยนต์ ซึ่งแม้รถของยามาฮ่าหลายรุ่นจะเป็นแบบคาบูเรเตอร์แต่ ยืนยันว่าเราผ่านมาตรฐานไอเสียตามรัฐบาลกำหนดได้แน่นอน
“ไม่จำเป็นว่ารถหัวฉีดเท่านั้นที่จะผ่านมาตรฐานไอเสียใหม่ได้ แต่รถคาบูเรเตอร์ก็ผ่านได้เช่นกัน ซึ่งตรงนี้เราก็พยายามทำความเข้าใจกับลูกค้าอยู่”
ในส่วนของมาตรฐานไอเสีย ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้มงวดมากที่สุดในเอเชีย และเชื่อว่าอีกประมาณ 4 ปี มาตรฐานไอเสียระดับ 7 หรือเทียบเท่ายูโร 4 จะออกมาบังคับใช้ซึ่งถึงเวลานั้นรถยนต์ทุกรุ่นในท้องตลาดต้องเป็นแบบหัวฉีดทั้งหมดแน่นอน
- ตลาดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดรถจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ตลาดรวมรถจักรยานยนต์ มียอดจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 1,132,639 คัน ลดลง 14.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (1,323,612 คัน) ส่วนยามาฮ่ามียอดจดทะเบียนรวม 318,360 คัน ลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 334,585 คัน ซึ่งเป็นการหดตัวน้อยกว่าตลาด จึงส่งผลให้เรามีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก 2.8% เป็น 28.1% ณ ตอนนี้
- ประเมินสถานการณ์ไตรมาสสุดท้ายของปี
สำหรับในไตรมาสสุดท้าย ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดัชนีความมั่นใจของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้ยามาฮ่าคาดว่าตลาดรวมรถจักรยานยนต์ถึงสิ้นปีนี้จะลดลงประมาณ 12% มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 1,500,000 คัน และในส่วนยามาฮ่าเองจะลดลงเพียง 2% และมียอดขายรวมทั้งปี 430,000 คัน ซึ่งจะทำให้ยามาฮ่ามีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเป็น 28.7%
ทั้งนี้ยามาฮ่าคาดว่าถึงสิ้นปี 2552 ค่ายฮอนด้าจะครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 65.8% แต่ลดลงจากปี 2551 ที่มีสัดส่วนถึง 68.5 ส่วนซูซูกิค่ายอันดับสามจะมีส่วนแบ่ง 4.2% ลดลงจากปี 2551 ที่เคยมี 4.5%
- การแข่งขันในตลาดรถจักรยานยนต์แฟชันคลาสสิค หลังคู่แข่งเปิดตัว สกูปปี้ ไอ และเจลาโต้
ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค แต่ในส่วนของฟีโน่ คงไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะยังทำยอดขายเป็นที่น่าพอใจเฉลี่ย 22,000 – 25,000 คันต่อเดือน หรือสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมามียอดจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ 202,000 คันแล้ว ซึ่งถือเป็นรถจักรยานยนต์รุ่นที่ขายดีสุดในตลาด (ถ้าฮอนด้าแยกยอดขายระหว่าง เวฟ100 กับเวฟ 110i โดยรุ่นแรกปิดยอดขาย 9 เดือนทำได้ 1.4 แสนคัน ส่วนรุ่นหลังทำได้ 1.96 แสนคัน)
“ปัจจุบันฟีโน่มีสัดส่วนขาย 20-30% ของตลาดรถจักรยานยนต์เกียร์ออโต้ทั้งหมด และเชื่อว่าหลังจากมีผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มเข้ามา จะทำให้สัดส่วนของรถจักรยานยนต์แฟชันคลาสสิคขยายตัวมากขึ้น ซึ่งก็อาจจะไปกินส่วนของรถประเภทอื่นๆลง แต่ไม่ใช่มาแย่งตลาดของฟีโน่แน่นอน ฉะนั้นไม่ต้องห่วง”
- มีแผนกระตุ้นยอดฟีโน่หรือไม่
ตั้งแต่ฟีโน่เปิดตัวมา 3 ปี เราทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่อเนื่อง ทำให้ตอนนี้มีแฟนพันธุ์แท้ฟีโน่เยอะมาก ซึ่งหลังจากคู่แข่งเปิดตัวรถแบบเดียวกันนี้ กระแสตอบรับ ฟีโน่ก็ไม่ได้ตกลงไป และดังนั้นเพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจฟีโน่ เราได้เตรียมแคมเปญพิเศษมอบให้ตลอด 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้
โดยเราจะแยกทำเป็นเดือนละ 1 แคมเปญ อย่างเริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้ เราทุ่มเงิน 25 ล้านบาท ให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของฟีโน่กว่า 600,000 คันทั่วประเทศ นำรถเข้ารับบริการตรวจเช็คสภาพรถทั้งคัน พร้อมรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี !ทั้งค่าแรงและค่าน้ำมันเครื่อง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น ณ ยามาฮ่าสแควร์ และร้านผู้จำหน่ายยามาฮ่าทั่วประเทศ ส่วนเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม เรายังเตรียมสิทธิประโยชน์ใหม่ๆเอาไว้ ซึ่งต้องคอยติดตามต่อไป
- ยามาฮ่ากับการเสริมรุ่นหัวฉีด
จริงๆแล้วเรื่องหัวฉีดกับยามาฮ่าไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ถามกันมาเยอะ ตรงนี้ขอชี้แจงว่า การเสริมรุ่นหัวฉีดคงต้องดูความพร้อมของผู้บริโภคด้วย เพราะกว่า 50% ของรถในตลาดยังซ่อมกับร้านอิสระทั่วไป ไม่ได้เข้าศูนย์บริการซึ่งช่างหลายคนยังกังวลใจ หรือเรียกง่ายๆว่าซ่อมรถหัวฉีดไม่เป็น ขณะเดียวกันยังมีค่าบำรุงรักษาที่แพงกว่าด้วย
“เรามีสปาร์ค 135i (หัวฉีด) กับ 135 ธรรมดา ทุกวันนี้รุ่นธรรมดายังขายดีกว่า ดังนั้นเรื่องหัวฉีดคงต้องแล้วแต่มุมมองของลูกค้า เพราะบางคนมองเรื่องการประหยัดน้ำมัน แต่มีบางคนกังวลเรื่องการดูแลรักษา หรือการดัดแปลงเครื่องยนต์ซึ่งรถหัวฉีดจะทำได้ยากกกว่ารถแบบคาบูเรเตอร์ ”
โดยช่วง 1-2 ปีจากนี้เรายืนยันจะทำตลาดรถจักรยานยนต์รุ่นคาบูเรเตอร์ควบคู่ไปกับการเสริมรุ่นหัวฉีดอย่างต่อเนื่อง พร้อมดูกระแสตอบรับของลูกค้าอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามในปีหน้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่าจะมีการเสริมรุ่นหัวฉีดอย่างน้อยหนึ่งรุ่นแน่นอน แต่คงไม่สามารถให้รายละเอียดได้ในตอนนี้
- เรื่องมาตรฐานไอเสีย
อยากชี้แจงว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2553 รถจักรยานยนต์ทุกคันต้องผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ6 หรือเทียบเท่า ยูโร3 ของรถยนต์ ซึ่งแม้รถของยามาฮ่าหลายรุ่นจะเป็นแบบคาบูเรเตอร์แต่ ยืนยันว่าเราผ่านมาตรฐานไอเสียตามรัฐบาลกำหนดได้แน่นอน
“ไม่จำเป็นว่ารถหัวฉีดเท่านั้นที่จะผ่านมาตรฐานไอเสียใหม่ได้ แต่รถคาบูเรเตอร์ก็ผ่านได้เช่นกัน ซึ่งตรงนี้เราก็พยายามทำความเข้าใจกับลูกค้าอยู่”
ในส่วนของมาตรฐานไอเสีย ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เข้มงวดมากที่สุดในเอเชีย และเชื่อว่าอีกประมาณ 4 ปี มาตรฐานไอเสียระดับ 7 หรือเทียบเท่ายูโร 4 จะออกมาบังคับใช้ซึ่งถึงเวลานั้นรถยนต์ทุกรุ่นในท้องตลาดต้องเป็นแบบหัวฉีดทั้งหมดแน่นอน