ASTV ผู้จัดการรายวัน - ส่องอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยครึ่งปีหลัง รถยนต์ยังสัญญาณไม่ชัด เมื่อกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับลดตัวเลขการผลิต ขายในประเทศและส่งออกลงหมด แต่ “โตโยต้า” ยังมั่นใจน่าจะทะลุ 1 ล้านคัน ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์เริ่มฟื้นตัว ทำให้มีการปรับตัวเลขเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินเมื่อต้นปี งานนี้ “ฮอนด้า-ยามาฮ่า” โดดชิงเค้กทันที แข่งกันควักรายละ 100 ล้านบาท อัดแคมเปญชิ งยอดขายดุเดือด
วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เมื่อบวกกับความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้เมื่อต้นปี 2552 ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างประเมินตัวเลขกันแบบระมัดระวัง โดยอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าจะผลิตรถมากกว่า 1 ล้านคัน และยอดขายภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 5 แสนคัน จากปีก่อนหน้าทำได้กว่า 6.1 แสนคัน ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์น่าจะลดลง 20-30% แต่เมื่อผ่านพ้น 6 เดือนแรกของปี สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ จนต้องมีการประเมินตัวเลขกันใหม่
**กลุ่มอุตฯรถ-โตโยต้ามองต่าง
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลก ยังคงส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจไทย ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังไม่ดีขึ้น การแก้ไขปัญหาฟื้นฟูของรัฐบาลที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นผลชัดเจน เช่นเดียวกับการสร้างความเชื่อมั่นและการส่งออกสินค้าต่างๆ ยังอยู่ในสภาวะที่ไม่ดีนัก ทำให้มีผลกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อเนื่อง
“เหตุนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ฯ จึงได้ปรับเป้าการผลิตรถยนต์ปีนี้ เหลือ 9.4 แสนคัน หรือลดลงจากปีที่ผ่านมา 33% โดยเป็นการผลิตเพื่อรองรับการจำหน่ายในประเทศ 4.3 แสนคัน ลดลงจากปีก่อนที่ขายได้ 6.1 แสนคัน คิดเป็น 30% และที่เหลือเป็นยอดการส่งออกอีก 5.1 แสนคัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ลดลง 35%”
อย่างไรก็ตาม ในการประเมินอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยปีนี้ ยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนัก เพราะจากการเปิดเผยของ นายมิตซึฮิโระ โซโนดะ ประธาน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด หรือ TMAP ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในไทย กลับมองต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยยังเชื่อมั่นว่าตัวเลขผลิตรถยนต์ปีนี้จะถึง 1 ล้านคัน
“แม้ครึ่งปีแรกตลาดในประเทศ และส่งออกจะลดลงมาก แต่เชื่อว่ายอดการผลิตรถยนต์ปีนี้ จะมากกว่า 1 ล้านคัน เพราะสาเหตุที่ตัวเลขลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการรักษาสมดุล ระหว่างยอดในประเทศกับส่งออก รวมถึงปรับไลน์ผลิตเพื่อรองรับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของโตโยต้า ในฐานะผู้นำตลาดของไทย จนมียอดค้างส่งมอบรถยนต์จำนวนมาก แต่จากนี้ไปทุกอย่างน่าจะลงตัว และมีการส่งมอบรถยนต์ได้ และส่งผลทำให้ตัวเลขปรับตัวเพิ่มขึ้น”
นอกจากนี้ ทิศทางตลาดรถยนต์ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่หากเทียบแต่ละเดือนของปีนี้ จะเห็นว่ามีการปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ จึงเชื่อว่ายอดขายเดือนมิถุนายนจะมีอัตราเพิ่มมากที่สุดในไตรมาส 2 ประกอบกับความชัดเจนของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้แนวโน้มจึงน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อส่งมอบให้ทันตามความต้องการของลูกค้า
**จยย.เริ่มฟื้นแข่งทุ่ม100ล.ชน
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ช่วงครึ่งปีแรก ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ จนปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่นับเป็นตัวเลขลดลงที่ต่ำกว่าประเมินไว้เมื่อต้นปี ซึ่งคาดว่าจะลดลง 20-30% แต่ปรากฎว่าครึ่งปีแรกนี้มียอดขายกว่า 7.4 แสนคัน ปรับตัวลดลงจากปีที่แล้วเพียง 15%
ทั้งนี้เมื่อดูทิศทางแต่ละเดือนในช่วงครึ่งปีแรก จะเห็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีตัวเลขการขายสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา โดยทำได้ 1.51 แสนคัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
“ภาพการฟื้นตัวจะเริ่มเห็นชัดเจนในไตรมาส 3 เป็นต้นไป แม้จะไม่ใช่ฤดูการขาย เพราะผู้ประกอบการทุกราย ต่างทุ่มงบประมาณในการทำตลาดมากขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงคาดว่าตัวเลขตลาดรถจักรยานยนต์รวมทั้งหมดในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 1.4 ล้านคัน หรือลดลงจากปีที่แล้ว 15% ”
นายธีระพัฒน์กล่าวว่า สำหรับฮอนด้าได้มีการเตรียมงบระมาณ ในการทำตลาดเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาถึง 20% เพื่อพยุงยอดขายของบริษัท โดยได้จัดกิจกรรมเพื่อหนุนภาพลักษ์ของรถจักรยานยนต์หัวฉีดอย่างต่อเนื่อง และก็ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อลูกค้าได้ทดลองใช้แล้ว พบว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ และประหยัดการบำรุงรักษา จึงเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้รถหัวฉีดของฮอนด้ามียอดขายเติบโตต่อเนื่อง จากเมื่อต้นปีมีสัดส่วนจากตลาดโดยรวม 22% เพิ่มขึ้นเป็น 45% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
“ล่าสุดฮอนด้าได้ทุ่มงบอีกกว่า 100 ล้านบาท เพื่อจัดแคมเปญหนุนรถจักรยานยน์ฮอนด้า คลิก ให้มียอดขายในประเทศไทยมุ่งทะยานสู่ 1 ล้านคัน และเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันยอดขายฮอนด้าบรรลุตามเป้าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน ”
โดยฮอนด้ายินดีมอบสิทธิพิเศษจากแคมเปญดังกล่าว ให้กับลูกค้าที่ซื้อรถจักรยานยนต์ฮอนด้า คลิก ไอ รุ่นใดก็ได้ มีสิทธิ์เลือกรับของขวัญฟรีทันที 1 เซ็ท จากทั้งหมด 5 เซ็ทเลือกได้ ทั้งโทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นดีวีดี และอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 กันยายน 2552
ไม่เพียงฮอนด้าที่อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นยอด ยามาฮ่าก็ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทเช่นกัน ในการผลักดันยอดขายรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟีโน่ โดยนายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อรักษาผู้นำตลาดรถออโตเมติก ยามาฮ่าได้รุกตลาดครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัวยามาฮ่า ฟีโน่ ใหม่ พร้อมกับแนะนำแคมเปญ My FINO, My Experience สู่ตลาด
“แคมเปญดังกล่าวยามาฮ่าได้ทุ่มงบประมาณ 100 ล้านบาทรองรับ ทั้งการทำกิจกรรม โฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยคาดว่าหมายจะมียอดขายรถรุ่นนี้ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 คัน หรือทั้งปีมียอดขายรวมทุกรุ่นของยามาฮ่า 4 แสนคัน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี” นายประพันธ์กล่าว
วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เมื่อบวกกับความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศ ทำให้เมื่อต้นปี 2552 ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างประเมินตัวเลขกันแบบระมัดระวัง โดยอุตสาหกรรมรถยนต์คาดว่าจะผลิตรถมากกว่า 1 ล้านคัน และยอดขายภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 5 แสนคัน จากปีก่อนหน้าทำได้กว่า 6.1 แสนคัน ขณะที่ตลาดรถจักรยานยนต์น่าจะลดลง 20-30% แต่เมื่อผ่านพ้น 6 เดือนแรกของปี สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ จนต้องมีการประเมินตัวเลขกันใหม่
**กลุ่มอุตฯรถ-โตโยต้ามองต่าง
นางเพียงใจ แก้วสุวรรณ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลก ยังคงส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจไทย ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังไม่ดีขึ้น การแก้ไขปัญหาฟื้นฟูของรัฐบาลที่ผ่านมาก็ยังไม่เห็นผลชัดเจน เช่นเดียวกับการสร้างความเชื่อมั่นและการส่งออกสินค้าต่างๆ ยังอยู่ในสภาวะที่ไม่ดีนัก ทำให้มีผลกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยต่อเนื่อง
“เหตุนี้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ฯ จึงได้ปรับเป้าการผลิตรถยนต์ปีนี้ เหลือ 9.4 แสนคัน หรือลดลงจากปีที่ผ่านมา 33% โดยเป็นการผลิตเพื่อรองรับการจำหน่ายในประเทศ 4.3 แสนคัน ลดลงจากปีก่อนที่ขายได้ 6.1 แสนคัน คิดเป็น 30% และที่เหลือเป็นยอดการส่งออกอีก 5.1 แสนคัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ลดลง 35%”
อย่างไรก็ตาม ในการประเมินอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยปีนี้ ยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนัก เพราะจากการเปิดเผยของ นายมิตซึฮิโระ โซโนดะ ประธาน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด หรือ TMAP ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในไทย กลับมองต่างจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยยังเชื่อมั่นว่าตัวเลขผลิตรถยนต์ปีนี้จะถึง 1 ล้านคัน
“แม้ครึ่งปีแรกตลาดในประเทศ และส่งออกจะลดลงมาก แต่เชื่อว่ายอดการผลิตรถยนต์ปีนี้ จะมากกว่า 1 ล้านคัน เพราะสาเหตุที่ตัวเลขลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากการรักษาสมดุล ระหว่างยอดในประเทศกับส่งออก รวมถึงปรับไลน์ผลิตเพื่อรองรับการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของโตโยต้า ในฐานะผู้นำตลาดของไทย จนมียอดค้างส่งมอบรถยนต์จำนวนมาก แต่จากนี้ไปทุกอย่างน่าจะลงตัว และมีการส่งมอบรถยนต์ได้ และส่งผลทำให้ตัวเลขปรับตัวเพิ่มขึ้น”
นอกจากนี้ ทิศทางตลาดรถยนต์ในไทยดีขึ้นต่อเนื่อง แม้จะมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่หากเทียบแต่ละเดือนของปีนี้ จะเห็นว่ามีการปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ จึงเชื่อว่ายอดขายเดือนมิถุนายนจะมีอัตราเพิ่มมากที่สุดในไตรมาส 2 ประกอบกับความชัดเจนของมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้แนวโน้มจึงน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อส่งมอบให้ทันตามความต้องการของลูกค้า
**จยย.เริ่มฟื้นแข่งทุ่ม100ล.ชน
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถจักรยานยนต์ช่วงครึ่งปีแรก ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ จนปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา แต่นับเป็นตัวเลขลดลงที่ต่ำกว่าประเมินไว้เมื่อต้นปี ซึ่งคาดว่าจะลดลง 20-30% แต่ปรากฎว่าครึ่งปีแรกนี้มียอดขายกว่า 7.4 แสนคัน ปรับตัวลดลงจากปีที่แล้วเพียง 15%
ทั้งนี้เมื่อดูทิศทางแต่ละเดือนในช่วงครึ่งปีแรก จะเห็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีตัวเลขการขายสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา โดยทำได้ 1.51 แสนคัน ดังนั้นจึงเชื่อว่าแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
“ภาพการฟื้นตัวจะเริ่มเห็นชัดเจนในไตรมาส 3 เป็นต้นไป แม้จะไม่ใช่ฤดูการขาย เพราะผู้ประกอบการทุกราย ต่างทุ่มงบประมาณในการทำตลาดมากขึ้น เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงคาดว่าตัวเลขตลาดรถจักรยานยนต์รวมทั้งหมดในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณกว่า 1.4 ล้านคัน หรือลดลงจากปีที่แล้ว 15% ”
นายธีระพัฒน์กล่าวว่า สำหรับฮอนด้าได้มีการเตรียมงบระมาณ ในการทำตลาดเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาถึง 20% เพื่อพยุงยอดขายของบริษัท โดยได้จัดกิจกรรมเพื่อหนุนภาพลักษ์ของรถจักรยานยนต์หัวฉีดอย่างต่อเนื่อง และก็ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อลูกค้าได้ทดลองใช้แล้ว พบว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำ และประหยัดการบำรุงรักษา จึงเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้รถหัวฉีดของฮอนด้ามียอดขายเติบโตต่อเนื่อง จากเมื่อต้นปีมีสัดส่วนจากตลาดโดยรวม 22% เพิ่มขึ้นเป็น 45% ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
“ล่าสุดฮอนด้าได้ทุ่มงบอีกกว่า 100 ล้านบาท เพื่อจัดแคมเปญหนุนรถจักรยานยน์ฮอนด้า คลิก ให้มียอดขายในประเทศไทยมุ่งทะยานสู่ 1 ล้านคัน และเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันยอดขายฮอนด้าบรรลุตามเป้าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคัน ”
โดยฮอนด้ายินดีมอบสิทธิพิเศษจากแคมเปญดังกล่าว ให้กับลูกค้าที่ซื้อรถจักรยานยนต์ฮอนด้า คลิก ไอ รุ่นใดก็ได้ มีสิทธิ์เลือกรับของขวัญฟรีทันที 1 เซ็ท จากทั้งหมด 5 เซ็ทเลือกได้ ทั้งโทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นดีวีดี และอื่นๆ อีกมากมาย รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง 30 กันยายน 2552
ไม่เพียงฮอนด้าที่อัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นยอด ยามาฮ่าก็ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทเช่นกัน ในการผลักดันยอดขายรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟีโน่ โดยนายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อรักษาผู้นำตลาดรถออโตเมติก ยามาฮ่าได้รุกตลาดครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัวยามาฮ่า ฟีโน่ ใหม่ พร้อมกับแนะนำแคมเปญ My FINO, My Experience สู่ตลาด
“แคมเปญดังกล่าวยามาฮ่าได้ทุ่มงบประมาณ 100 ล้านบาทรองรับ ทั้งการทำกิจกรรม โฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยคาดว่าหมายจะมียอดขายรถรุ่นนี้ ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 คัน หรือทั้งปีมียอดขายรวมทุกรุ่นของยามาฮ่า 4 แสนคัน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปี” นายประพันธ์กล่าว